Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Effect of high intensity interval training with blood flow restriction on aerobic capacity and 2,000-m rowing performance in youth rowers
Year (A.D.)
2024
Document Type
Thesis
First Advisor
ทศพร ยิ้มลมัย
Faculty/College
Faculty of Sports Science (คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา)
Degree Name
วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาเอก
Degree Discipline
วิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย
DOI
10.58837/CHULA.THE.2024.950
Abstract
การฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาเป็นรูปแบบการฝึกที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาสมรรถภาพความทนทานของร่างกายในนักกีฬาประเภททนทาน อย่างไรก็ตามการศึกษาผลของการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดยังมีจำนวนจำกัด ดังนั้นงานวิจัยเรื่องนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดในนักกีฬาเรือกรรเชียงเยาวชนต่อสมรรถภาพด้านแอโรบิกและความสามารถในการพายเรือกรรเชียง 2,000 เมตร การศึกษาที่1 มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแรงดันที่ใช้จำกัดการไหลเวียนเลือดที่เหมาะสมสำหรับใช้ร่วมกับการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบา นักกีฬาเรือกรรเชียงเพศชายและหญิง อายุ 15-18 ปี จำนวน 14 คน เวียนเข้ารับการดึงกรรเชียงบก 4 รูปแบบ ได้แก่ การดึงกรรเชียงบกแบบความหนักสูงสลับเบาและการดึงกรรเชียงบกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ระดับ 40%, 50% และ 60% ของการปิดกั้นของหลอดเลือด (AOP) โดยเว้นระยะห่างแต่ละรูปแบบ 1 สัปดาห์ ทำการวัดระดับออกซิเจนในกล้ามเนื้อ, การทำงานของระบบหัวใจไหลเวียนเลือด, ระดับความรู้สึกเหนื่อย, ระดับความเจ็บปวดและความสามารถในการดึงกรรเชียงบก โดยพบว่า ระดับแรงดันที่ 50%AOP มีประสิทธิภาพที่สุดที่ทำให้ระดับออกซิเจนในกล้ามเนื้อลดลงต่ำที่สุดในขณะออกกำลังกาย ขณะที่ไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดและความสามารถในการดึงกรรเชียงบกแตกต่างจากระดับแรงดันอื่น การศึกษาที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดต่อสมรรถภาพด้านแอโรบิกและความสามารถในการพายเรือกรรเชียง 2,000 เมตร นักกีฬาเรือกรรเชียงเพศชายและหญิง อายุ 15-18 ปี จำนวน 16 คน ได้รับการสุ่มด้วยวิธีการจับคู่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการฝึกด้วยความหนักสูงสลับเบาอย่างเดียว (HIIT) ประกอบด้วยการฝึก 4 เซทๆละ 2 นาที ที่ระดับความหนัก 90% ของพลังสูงสุด พักระหว่างเซท 2 นาที และ กลุ่มการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือด (HIIT+BFR) ทั้งสองกลุ่มทำการฝึก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ก่อนและหลังการฝึก 6 สัปดาห์ ทำการวัดองค์ประกอบร่างกาย, ความแข็งแรงสูงสุดของรยางค์แขนและขา (1RM), ความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด (VO2max), จุดวิกฤตการหายใจ (VT1 และ VT2) พลังวิกฤต (CP) ความสามารถในการทำงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน (AWC) จลนพลศาสตร์การใช้ออกซิเจน (Oxygen kinetic), ระดับออกซิเจนในกล้ามเนื้อ (SmO2) และเวลาในการพายเรือ 2,000 เมตร จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความแปรปรวนสองทางแบบผสมผสานและทำการเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีบอนเฟอร์โรนี กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า เวลาในการพายเรือ 2,000 เมตร ลดลงภายหลังการฝึกทั้ง 2 กลุ่ม พลังวิกฤตและความแข็งแรงของรยางค์แขนและขา (1RM) เพิ่มขึ้นภายหลังการฝึกทั้ง 2 กลุ่ม โดยไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อย่างไรก็ตามพบว่าระดับออกซิเจนในกล้ามเนื้อ Vastus lateralis ในกลุ่ม HIIT+BFR มีการพัฒนาขึ้นภายหลังการฝึก ในขณะที่กลุ่ม HIIT ไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ไม่พบความแตกต่างของความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด และ ตัวแปรจลนพลศาสตร์การใช้ออกซิเจน ก่อนและหลังการฝึกของทั้ง 2 กลุ่ม อย่างไรก็ตาม พบความสัมพันธ์ค่อนข้างสูงระหว่าง พลังวิกฤต และ ความแข็งแรงสูงสุดของกล้ามเนื้อรยางค์แขนและขากับเวลาในการพายเรือ 2,000 เมตร สรุปได้ว่า การฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดในนักกีฬาเรือกรรเชียงระดับเยาวชนสามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการพายเรือกรรเชียง 2,000 เมตร, พลังวิกฤต, ความแข็งแรงของรยางค์แขนและขาได้ไม่แตกต่างจากการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ทำการฝึกในช่วง Pre-competition phase ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่นักกีฬาจะมีสมรรถภาพในระดับสูงเพื่อพร้อมเข้าสู่การแข่งขัน ดังนั้นการทำการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดในช่วงการฝึกอื่นอาจทำให้ได้ผลการฝึกที่แตกต่างจากการศึกษานี้
Other Abstract (Other language abstract of ETD)
High-intensity interval training (HIIT) has been recognized as an effective modality for enhancing endurance performance in endurance athletes. Nevertheless, the effectiveness of HIIT combined with blood flow restriction (BFR) remains limited. Therefore, the main purpose of this study was to determine the effects of high-intensity interval training (HIIT) combined with blood flow restriction (BFR) in youth rowers on aerobic capacity and 2,000-meter rowing performance. The purpose of Study 1 was to find out the optimal arterial occlusion pressure (AOP) of blood flow restriction (BFR) combined with high-intensity interval training (HIIT) to acutely induce the better hemodynamic and muscle oxygenation responses during simulated rowing on a rowing ergometer. Fourteen (11 male and 3 female) young rowers completed 4 exercise protocols: HIIT with BFR ( 40%, 50%, and 60% of AOP) and without BFR in a randomized crossover design. Muscle oxygenation, hemodynamic responses, rating of perceived exertion (RPE), pain, and rowing performance of 4 set were measured. Results indicated that 50% AOP produced the greatest reduction in vastus lateralis muscle oxygen saturation, but maintained cardiovascular response and rowing performance compared to other conditions. This finding suggests 50% AOP as a promising BFR protocol for maximizing physiological adaptations induced by HIIT. The purpose of Study 2 was to further determine the effects of high-intensity interval training (HIIT) combined with blood flow restriction (BFR) on measures of aerobic performance and 2,000-meter rowing performance in junior rowers. Sixteen male and female rowers, aged between 15–18, participated in this study. Participants were match paired allocated to HIIT (4 sets of 2 min at 90% of maximum power output, interspersed with 2-min passive rest) with either BFR imposed on both lower limbs at 50% of AOP or without BFR. Both groups trained twice weekly for six weeks. Pre- and post-intervention assessments included body composition, one-repetition maximum (1RM) of bench pull and leg press, maximal oxygen consumption (VO₂max), ventilatory threshold (VT1 & VT2), critical power (CP), anaerobic work capacity (AWC), oxygen uptake kinetics, muscle oxygenation, and 2,000-m rowing time trial. Two-way mixed ANOVA was used for statistical analysis, with Bonferroni corrections applied for post-hoc comparisons (p-value < 0.05). Both groups showed significant improvements in 2,000-meter rowing time, CP, bench pull and leg press 1-RM, with no significant differences between group. However, muscle oxygenation significantly improved only in the HIIT+BFR group. No significant changes were observed between groups in body composition, VO₂max, VT1 and VT2, and oxygen uptake kinetics at pre-and post-training. There were strong relationships between CP, AWC, muscle strength and 2,000-m rowing performance (r= -0.8– -0.9) . In conclusion, six weeks of HIIT combined with BFR elicited comparable increases in rowing performance, CP and lower an upper extremity strength compared to HIIT alone in young rowers. However,this study was conducted during the pre-competition phase, a period characterized by peak physical conditioning in preparation for competition. Therefore, implementing high-intensity interval training combined with blood flow restriction during alternative training phases may have produced different physiological and performance outcomes.
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ศิลปบรรเลง, สุภัทรา, "ผลของการฝึกแบบความหนักสูงสลับเบาร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดต่อสมรรถภาพด้านแอโรบิกและความสามารถในการพายเรือกรรเชียงระยะ 2,000 เมตรในนักกีฬาเรือกรรเชียงระดับเยาวชน" (2024). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 74788.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/74788