Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Burnout syndrome of health care workers in a private hospital, Bangkok metropolis
Year (A.D.)
2024
Document Type
Thesis
First Advisor
สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย
Faculty/College
Faculty of Medicine (คณะแพทยศาสตร์)
Department (if any)
Department of Psychiatry (ภาควิชาจิตเวชศาสตร์)
Degree Name
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
สุขภาพจิต
DOI
10.58837/CHULA.THE.2024.809
Abstract
ในปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงการเกิดภาวะหมดไฟสูง โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน ที่ต้องคํานึงถึงการแข่งขันในตลาด ทำให้บุคลากรเกิดความกดดัน ความเครียด ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน นำไปสู่การเกิดภาวะหมดไฟได้ในที่สุด การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณา เพื่อหาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล จำนวน 500 คน ใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมิน Maslach Burnout Inventory แบบสอบถามความพึงพอใจในงาน แบบวัดความเครียดสวนปรุง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent t test , Chi-squared, Fisher's Exact Test, Binary logistic regression analysis เพื่อหาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีสัดส่วนเป็นเพศหญิง(81%) มีอายุช่วง 20 – 29 ปี (64.8%) ระดับการศึกษาปริญญาตรี (81.8%) เป็นพยาบาลวิชาชีพ (42%) โดยมีภาวะหมดไฟด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์และการลดความเป็นบุคคลระดับต่ำ ร้อยละ 87.4 และ 98.8 ตามลำดับ ด้านความสำเร็จส่วนบุคคลระดับปานกลาง ร้อยละ 36.8 ส่วนภาวะหมดไฟโดยรวมระดับต่ำ ร้อยละ 55.9 และระดับปานกลาง ร้อยละ 42.7 และพบว่าปัจจัยด้านความเครียดสูง อยู่แผนกผู้ป่วยนอก ภาระงานมาก เวลาพักน้อย เวลาในการเดินทางมาทำงาน > 30 นาที การใกล้ชิดกับผู้รับบริการ ความยากลำบากช่วง Covid-19 การดื่มแอลกอฮอล์และชั่วโมงการนอนหลับต่อวัน ≤6 ชั่วโมง มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานปานกลาง-สูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อวิเคราะห์ด้วย logistic regression analysis พบว่าปัจจัยที่ทำนายการมีภาวะหมดไฟ ระดับสูงได้แก่การทำงานแผนกผู้ป่วยนอก ใกล้ชิดกับผู้รับบริการ ระยะเวลาพักน้อย การดื่มแอลกอฮอล์บางครั้ง และชั่วโมงการนอนหลับเฉลี่ยต่อวัน ≤6 ชั่วโมง บุคลากรทางการแพทย์ในการศึกษาส่วนใหญ่มีภาวะหมดไฟในระดับต่ำ-ปานกลาง ซึ่งเกี่ยวข้อง กับลักษณะงานที่ทำ ระยะเวลาในการพักผ่อนนอนหลับและการใช้แอลกอฮอล์
Other Abstract (Other language abstract of ETD)
Current medical personnel, particularly in private hospitals, face a high risk of burnout due to market competition and work pressure. This study aimed to assess the prevalence and factors linked to burnout among 500 healthcare workers in a private hospital in Bangkok. Data were collected using the Maslach Burnout Inventory, a job satisfaction questionnaire, and the Suanprung Stress Test, and analyzed with Independent t-tests, chi-squared, Fisher's Exact Test and logistic regression. Results showed that 81% of the participants were female, aged 20–29, and 42% were nurses. Burnout was noted in terms of emotional exhaustion (87.4%) and depersonalization (98.8%), both at low levels. Moderate burnout was linked to factors like high stress, working in outpatient departments, heavy workloads, long commutes, limited rest, alcohol consumption, and ≤6 hours of sleep (p<0.05). Logistic regression revealed that high burnout was predicted by working in outpatient settings, close patient contact, short rest, alcohol use, and limited sleep. Overall, most workers experienced low to moderate burnout, influenced by job conditions, rest, and alcohol use. In conclusion, most healthcare workers in this study experienced low to moderate levels of burnout, which were related to the nature of their work, rest and sleep duration, and alcohol use.
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กุลเลิศจริยา, ธมลวรรณ, "ภาวะหมดไฟจากการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เขตกรุงเทพมหานคร" (2024). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 74647.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/74647