Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Outcomes of endoscopic transpapillary gallbladder stenting (ETGS) in gallstones with acute cholangitis patients whose cholecystectomy are deferred: a randomized controlled trial
Year (A.D.)
2024
Document Type
Thesis
First Advisor
วิริยาพร ฤทธิทิศ
Faculty/College
Faculty of Medicine (คณะแพทยศาสตร์)
Department (if any)
Department of Medicine (ภาควิชาอายุรศาสตร์ (คณะแพทยศาสตร์))
Degree Name
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
อายุรศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.2024.779
Abstract
วัตถุประสงค์: การส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดี (endoscopic transpapillary gallbladder stenting; ETGS) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (acute cholecystitis) และมีระยะเวลารอผ่าตัดถุงน้ำดีนาน อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดีในผู้ป่วยที่มีภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (acute cholangitis) โดยไม่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบร่วมด้วยนั้นยังมีจำกัด การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบสุ่มเพื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนที่ 3 เดือน ในผู้ป่วยที่มีภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลันโดยไม่มีถุงน้ำดีอักเสบและมีระยะเวลารอผ่าตัดถุงน้ำดีนาน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดี วิธีการวิจัย: ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568 ผู้ป่วยที่มีภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลันโดยไม่มีถุงน้ำดีอักเสบและมีระยะเวลารอผ่าตัดถุงน้ำดีนาน ซึ่งเข้าได้กับเกณฑ์คัดเลือกในการศึกษาได้รับการสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเอ (กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดี) และกลุ่มบี (กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดี) โดยทำการเปรียบเทียบอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนที่ 3 เดือนระหว่างผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม ผลการวิจัย: ผู้ป่วยทั้งหมด 140 ราย ที่เข้าได้กับเกณฑ์คัดเลือกได้รับการสุ่มแบ่งออกเป็น กลุ่มเอ จำนวน 70 ราย และกลุ่มบี จำนวน 70 ราย ผู้ป่วยทุกรายประสบความสำเร็จในการส่องกล้องตรวจรักษาท่อน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) เพื่อกำจัดนิ่วในท่อน้ำดี สำหรับกลุ่มเอ อัตราความสำเร็จในทางเทคนิคและอัตราความสำเร็จทางคลินิกของการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดีเท่ากับร้อยละ 90 และร้อยละ 100 ตามลำดับ โดยอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังทำหัตถการไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มเอ และกลุ่มบี (ร้อยละ 5.7 เทียบกับร้อยละ 1.4; p = 0.17) แต่อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนที่ 3 เดือนต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มเอ เมื่อเทียบกับกลุ่มบี (ร้อยละ 0 เทียบกับร้อยละ 10; p = 0.01) การวิเคราะห์ Kaplan-Meier พบว่าอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนในกลุ่มเอ ต่ำกว่ากลุ่มบี อย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.004) ในช่วงระยะเวลาการติดตามผล 150.5 วัน (ช่วง 91-291 วัน) สรุป: การส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดีมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนที่ 3 เดือน ในผู้ป่วยที่มีภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลันโดยไม่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบและมีระยะเวลารอผ่าตัดถุงน้ำดีนาน ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่ได้รับการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดีจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซ้ำจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทางเดินน้ำดีและตับอ่อนนี้
Other Abstract (Other language abstract of ETD)
Background: Endoscopic transpapillary gallbladder stenting (ETGS) is effective to prevent recurrent cholecystitis in acute cholecystitis patients with deferred cholecystectomy. However, data on its efficacy in acute cholangitis patients without cholecystitis is limited. We conducted a randomized trial to compare the rate of future biliary events related to gallstones over a 3-month follow-up period in patients with acute cholangitis, who did not have cholecystitis and had deferred cholecystectomy, between those who received and did not receive ETGS. Methods: Between June 2024 - March 2025, eligible patients with acute cholangitis, who did not have cholecystitis and had deferred cholecystectomy, were randomized into group A (those who received ETGS) and group B (those who did not receive ETGS). We compared the rate of future biliary events including new onset of acute cholecystitis, acute cholangitis and acute biliary pancreatitis during the waiting period for cholecystectomy at 3 months between the two groups. Results: A total of 140 eligible patients were randomized into group A (n = 70) and group B (n = 70) prior to ERCP. All patients had successful ERCP for common bile duct stone clearance. In group A, the technical success rate and clinical success rate of ETGS were 90% and 100%, respectively. Post-procedural adverse events did not significantly different between groups A and B [5.7% (4/70) vs. 1.4% (1/70); p = 0.17]. The rate of future biliary events at 3 months was significantly lower in group A than those in group B [0% (0/70) vs. 10% (7/70); p = 0.01]. Kaplan-Meier analysis showed a significantly lower rate of future biliary events in group A compared to group B (p = 0.004) during the median follow-up period of 150.5 days (range 91-291 days). Conclusions: ETGS was effective to prevent future biliary events at 3 months in patients with acute cholangitis, who did not have cholecystitis and had deferred cholecystectomy. A significant number of patients who did not receive ETGS required rehospitalization.
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
รัตนวิริยะชัย, ณัฎฐ์สิดา, "การทดลองแบบสุ่มเพื่อศึกษาผลของการส่องกล้องใส่ท่อระบายถุงน้ำดีผ่านรูเปิดท่อน้ำดีในผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดีร่วมกับภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลันและมีระยะเวลารอการผ่าตัดถุงน้ำดีนาน" (2024). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 74617.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/74617