Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ผลของการพูดขู่ การเฝ้าคอยดู เวลา และเพศของเด็กที่มีต่อความเชื่อฟังของเด็กอนุบาล

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Effects of verbal threat, surveillance, time, and sex of the child on kindergarten children's obedience

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

โยธิน ศันสนยุทธ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จิตวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.58

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบตัวแปรการพูดขู่ การเฝ้าคอยดู เวลา และเพศของเด็ก ที่มีผลต่อความเชื่อฟังของเด็กต่อคำสั่งของผู้ใหญ่ กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กชาย 32 คน และเด็กหญิง 32 คน อายุระหว่าง 4 ปี 2 เดือนถึง 4 ปี 9 เดือน ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 1 ปีการศึกษา 2523 ของโรงเรียนละอออุทิส เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. กล่องจำนวน 2 กล่อง กล่องหนึ่งเป็นกล่องกระดาษแข็งไม่มีฝามีขนาดกว้าง 8 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว และสูง 8 นิ้ว ภายในกล่องบรรจุลูกหินจำนวน 300 ลูก อีกกล่องหนึ่งเป็นกล่องไม้ทึบมีขนาดกว้าง 12 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว และสูง 18 นิ้ว บนฝากล่องไม้ทึบมีช่องที่จะหยอดลูกหินเพียงครั้งละ 1 ลูกใส่ลงไปได้ กล่องทั้งสองตั้งอยู่ห่างกัน 1.8 เมตร 2. ของเล่นจำนวน 4 ชิ้น ได้แก่ ตุ๊กตาผู้หญิง สุนัขไขลาน เป็ดไขลาน และรถเด็กเล่น ผู้วิจัยสังเกตความเชื่อฟังของเด็กต่อคำสั่งของผู้ใหญ่โดยดูผ่านกระจกทางเดียว เงื่อนไขการทดลองมี 4 อย่างดังนี้ เงื่อนไขที่ 1 (ผู้ใหญ่ไม่พูดขู่ และไม่เฝ้าคอยดู) เงื่อนไขที่ 2 (ผู้ใหญ่ไม่พูดขู่ แต่เฝ้าคอยดู) เงื่อนไขที่ 3 (ผู้ใหญ่พูดขู่ แต่ไม่เฝ้าคอยดู) เงื่อนไขที่ 4 (ผู้ใหญ่พูดขู่และเฝ้าคอยดู) ผู้ทำการทดลองนำกลุ่มตัวอย่างมาทดลองความเชื่อฟังคำสั่งเป็นรายบุคคล ผู้เข้ารับการทดลองแต่ละคนจะเข้ารับการทดลองภายใต้เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเท่านั้น ในแต่ละเงื่อนไขการทดลองผู้ทำการทดลองใช้เวลา 6 นาทีทำการทดลองกับผู้เข้ารับการทดลอง โดยแบ่งเวลาในการทดลองออกเป็น 3 ช่วงเวลา ช่วงเวลาละ 2 นาที ได้แก่ช่วงเวลาที่ 1 คือช่วงเวลา 2 นาทีแรก ช่วงเวลาที่ 2 คือช่วงเวลา 2 นาทีต่อมา และช่วงเวลาที่ 3 คือช่วงเวลา 2 นาทีสุดท้าย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน 2 ทางแบบไม่วัดซ้ำ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีของนิวแมน-คูลส์ ผลการวิจัยพบว่า 1. ในสภาพการณ์ที่ผู้ใหญ่ไม่เฝ้าคอยดูเด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ที่มีการพูดขู่มากกว่าไม่มีการพูดขู่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ในสภาพการณ์ที่ผู้ใหญ่เฝ้าคอยดูเด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ที่มีการพูดขู่มากกว่าไม่มีการพูดขู่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.ในสภาพการณ์ที่ผู้ใหญ่ไม่พูดขู่เด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ที่มีการเฝ้าคอยดูมากกว่าไม่มีการเฝ้าคอยดูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ในสภาพการณ์ที่ผู้ใหญ่พูดขู่เด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ที่มีการเฝ้าคอยดูมากกว่าไม่มีการเฝ้าคอยดูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. ในแต่ละเงื่อนไขการทดลองเด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ดังนี้ 5.1 เงื่อนไขที่ 1 (ผู้ใหญ่ไม่พูดขู่ และไม่เฝ้าคอยดู) เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 1 เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่มากกว่าในช่วงเวลาที่ 2 และในช่วงเวลาที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 แต่เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 2 และในช่วงเวลาที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 แต่เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 2 และในช่วงเวลาที่ 3 เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 5.2 เงื่อนไขที่ 2 (ผู้ใหญ่ไม่พูดขู่ แต่เฝ้าคอยดู) เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 1และในช่วงเวลาที่ 2 เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 2 และในช่วงเวลาที่ 3 เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 1 เชื่อฟังคำสั่งขอและ 5.4 เงื่อนไขที่ 4 (ผู้ใหญ่พูดขู่ และเฝ้าคอยดู) เด็กที่เข้ารับการทดลองในช่วงเวลาที่ 1 ในช่วงเวลาที่ 2 และในช่วงเวลาที่ 3 เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 6. ในแต่ละเงื่อนไขการทดลองเด็กหญิงและเด็กชายเชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

Share

COinS