Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ทรรศนะเรื่องการติดข้อง และความหลุดพ้นในปรัชญาเชน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The concept of bondage and liberation in Jaina Philosophy

Year (A.D.)

1981

Document Type

Thesis

First Advisor

วิจิตร เกิดวิสิษฐ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1981.559

Abstract

ทรรศนะเรื่องความหลุดพ้นและการติดข้องเป็นปัญหาที่สำคัญในปรัชญาอินเดีย และมีคำอธิบายในแต่ละระบบแตกต่างกัน ปรัชญาเชนเป็นระบบหนึ่งที่มีความแตกต่างจากระบบอื่นและมีลักษณะพิเศษเป็นของตนเอง การเข้าใจปัญหานี้ได้จะทำให้เข้าใจคำสอนที่เป็นหลักสำคัญหรือที่เป็นหัวใจของปรัชญาเชนได้อย่างแจ่มแจ้ง ทรรศนะทางอภิปรัชญาของเชนมีลักษณะเป็นทวินิยมคือ ถือว่าอันติมสัจจะมี ๒ อย่าง คือ ชีวะหรือสิ่งมีสำนึก (consciousness) และสิ่งไร้สำนึกหรือสสาร (non-consciousness or matter) ซึ่งเรียกว่าอชีวะ ชีวะในสภาพดั้งเดิมนั้นบริสุทธิ์ ความติดข้องเกิดขึ้นเนื่องจากการมาผูกพันกับอชีวะนี้ ชีวะต้องมามัวหมองและสูญเสียความบริสุทธิ์ดั้งเดิมไปก็ด้วยอนุภาคของกรรม ตามทรรศนะของเชนนั้นกรรมคือ วัตถุ (ปุทคละ) มีลักษณะเป็นอนุภาคหรืออณูซึ่งละเอียดมาก สาเหตุที่ทำให้ชีวะบริสุทธิ์ต้องมาติดข้องด้วยอนุภาคของกรรมคือ อวิชชา ซึ่งหมายถึงความไม่รู้จริงในธรรมชาติของชีวะ ทำให้เกิดกิเลสซึ่งเรียกว่า กษายะ กษายะมี ๔ อย่างคือ โลภะ (ความโลภหรือความอยากได้) โกรธะ (ความโกรธ) มานะ (ความถือตัว) และมายา (ความหลง) กษายะนี้เองที่เป็นตัวดึงดูดอนุภาคของกรรมให้เข้าไปแทรกซึมติดอยู่กับชีวะ ทำให้ชีวะต้องมีสภาพติดข้องซึ่งเรียกว่า พันธะ สภาพของชีวะในลักษณะนี้จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเป็นสภาพแห่งความทุกข์ ดังนั้นจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตจึงมิใช่เพียงเพื่อการกระทำดี เพราะการกระทำดีก็ยังส่งผลให้เกิดอนุภาคของกรรมดี ซึ่งทำให้เกิดสภาพที่มีความสุขทางโลก แต่ก็มิใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะชีวะยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกและอาจพลั้งพลาดไปสร้างกรรมชั่วได้อีก วิถีทางที่ถูกต้องก็คือการให้ชีวะได้กลับไปมีสภาพสมบูรณ์และบริสุทธิ์ดังเดิม ซึ่งหมายถึงการแยกชีวะออกจากอนุภาคของกรรมให้ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อชีวะเป็นอิสระอย่างเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว ชีวะก็ได้บรรลุถึงความหลุดพ้นหรือโมกษะอันเป็นจุดหมายอันประเสริฐและสูงสุดของชีวิต วิถีทางที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงความหลุดพ้นนั้น จะต้องเริ่มจากการมีศรัทธาชอบ (สัมยัคทรรศนะ) ต้องมีความรู้ชอบ (สัมยัคชญาน) และความประพฤติชอบ (สัมยัคจาริตร) พร้อมกันไป ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่ารัตนตรัยของเชน ขั้นต่อจากนี้ผู้ปฏิบัติต้องขจัดอนุภาคของกรรมให้หมดสิ้นจากชีวะ ด้วยวิธีการปิดกั้นอนุภาคของกรรมใหม่ภายนอกมิให้หลั่งไหลแทรกซึมเข้าสู่ชีวะ การประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎข้อบังคับที่สำคัญของศาสนาอย่างเคร่งครัด มีการรักษาพรตซึ่งประกอบด้วยพรตสำคัญ ๕ ประการคือ อหิงสา (การไม่เบียดเบียน) สัตยะ (การพูดความจริง) อัสเตยะ (การไม่ขโมยหรือหยิบสิ่งของที่เจ้าของมิได้ออกปากอนุญาต) พรหมจรยะ (การรักษาพรหมจรรย์) และอปริครหะ (การไม่ติดข้องในสิ่งทั้งปวง) และพรตรอง ๗ ประการคือ คุณพรต ๓ และศึกษาพรต ๔ พรตทั้งหมดนี้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรักษาและสนับสนุนมหาพรต ๕ ประการ การรักษาพรตดังกล่าวแม้จะสามารถปิดกั้นมิให้อนุภาคของกรรมใหม่หลั่งไหลเข้าไปแทรกซึมติดอยู่กับชีวะได้ แต่ก็ไม่สามารถทำลายอนุภาคของกรรมเก่าให้หมดไปโดยเร็วได้ ดังนั้นจึงต้องมีการทำลายกรรมเก่าให้หมดสิ้นไปด้วยการบำเพ็ญตบะ เมื่อชีวะสามารถทำลายอนุภาคของกรรมเก่าได้หมดแล้ว ชีวะก็จะหลุดพ้นจากอนุภาคของกรรม และหลุดพ้นจากการผูกพันกับวัตถุทั้งปวงกลับไปสู่สภาพบริสุทธิ์ดั้งเดิมอีก ในสภาพนี้เองที่เรียกว่าโมกษะ ผู้ที่บรรลุโมกษะแล้วจะเป็นผู้ที่มีการพัฒนาการทางจิตใจถึงขั้นสูงสุดคือขั้นที่ ๑๔ ซึ่งเรียกว่า อโยคเกวลิ-คุณสถาน ซึ่งเมื่อตายแล้วชีวะที่บรรลุโมกษะนี้จะลอยขึ้นสู่เบื้องสูง และไปพำนักอยู่ที่สุทธศิลาซึ่งเป็นที่สุดของโลกากาศ ชีวะในสภาพดั้งเดิมนี้จะสามารถรู้แจ้งถึงพลังเดิมอันมีอยู่ภายในตน และได้บรรลุถึงความสมบูรณ์ ๔ ประการคือ มีความเห็นอันหาที่สุดมิได้ มีความรู้อันหาที่สุดมิได้ มีอำนาจอันหาที่สุดมิได้ มีความสุขอันหาที่สุดมิได้ ชีวะนี้จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร ไม่มีการเสื่อมสลาย

Share

COinS