Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เพลงปลุกใจไทย (พ.ศ. 2475-2525) : การวิเคราะห์ทางการเมือง

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Thai nationalistic songs (1932-1982) : a political analysis

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

ชัยอนันต์ สมุทวณิช

Second Advisor

สมบัติ จันทรวงค์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

รัฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การปกครอง

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.482

Abstract

เพลงปลุกใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีใช้อยู่ในทุกสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายในการใช้ตลอดจนลักษณะของเพลงที่แกตกต่างกันไปในแต่ละประเทศแต่ละสังคม ลักษณะทั่วไปของเพลงปลุกใจในสังคมต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันก็คือ การปลุกใจให้เกิดความรักชาติ ภักดีต่อชาติ และต้องการรักษาชาติไว้ ซึ่งมักจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ในสังคมไทยกลับมีเพลงปลุกใจอยู่เป็นจำนวนมากและมีเนื้อหาที่หลากหลาย เนื้อหาเหล่านี้ของเพลงปลุกใจมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสภาพการณ์ต่างๆ ของไทย ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในแต่ละยุคแต่ละสมัย นับตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา จนถึงปี 2525 โดยได้ชี้ให้เห็นถึกงการชักชวนให้ประชาชนเกิดความรู้สึกนึกคิด มีทัศนคติ หรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นการสนับสนุนระบบการเมืองที่เป็นอยู่ การชักชวนโดยใช้เพลงปลุกใจนี้เป็นการรรวมเอาลักษณะทางดนตรีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย คือ ทำนองเพลง จังหวะ การใช้เครื่องดนตรี ฯลฯ นอกเหนือไปจากเนื้อหาของเพลงซึ่งสื่อความหมายได้ชัดเจนที่สุด การวิจัยถึงเนื้อหาของเพลงปลุกใจในวิทยานิพนธ์เรื่องนี้จึงเน้นที่การวิเคราะห์ภาษาที่ใช้ในเพลงปลุกใจไทยและการสื่อความหมายของภาษาที่ใช้เหล่านี้ ตลอดจนลักษระทางดนตรีของเพลง เช่น ทำนอง จังหวะ การใช้เครื่องดนตรี ฯลฯ โดยพิจารณาควบคู่ไปกับสภาพการณ์ทางการเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2525 การวิจัยเริ่มขึ้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูล คือเพลงปลุกใจไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2475-2525 โดยการรวบรวมไว้ในภาคผนวกของวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ รวมทั้งนวบนวมปีที่แต่งของเพลงปลุกใจทุกๆ เพลงแล้วนำมาวิเคราะห์ตามวิธีวิเคราะห์เนื้อหาในแต่ละเพลงจนครบ เพื่อหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในเพลงเปรียบเทียบกับสภาพการณืทางการเมืองไทยในแต่ละสมัย ผลของการวิจัยพบว่า จำนวนเพลงปลุกใจไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2475-2525 มีอยู่ถึง 448 เพลง นอกจากนี้ยังมีเพลงปลุกใจที่สูญหายไปเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้มีการใช้เพลงปลุกใจเป็นจำนวนมาก โดยเพลงปลุกใจต่างๆ เหล่านี้ได้ออกมาเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป คือแต่ละเพลงมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ประชาชนเกิดความรู้สึกนึกคิดและให้มีการกระทำอย่างใดอยางหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถานการณ์ และพบว่าในช่วงปี พ.ศ.2481-2487 และ พ.ศ.2490-2500 ซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการใช้เพลงปลุกใจเป็นจำนวนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของรัฐบาลอื่นๆสำหรับแนวทางชองเนื้อหาเพลงปลุกใจนั้นส่วนใหญ่คงมีความคล้ายคลึงกัน คือ ชักชวนให้รักชาติ ภักดีต่อชาติและกระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชาติให้อยู่รอดและเจริญก้าวหน้าต่อไป โดยเน้นถึงสิ่งต่างๆ หรือคุณค่าต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ แต่ในเรื่องของลักษณะเพลง เช่น ทำนอง จังหวะ การใช้เครื่องดนตรี ฯลฯ นั้น มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นตลอดมา และจากการแบ่งระดับของเพลงปลุกใจออกตามจุดมุ่งหมายในการใช้เป็นเพลงปลุกใจระดับชาติ ระดับกองทัพ และระดับกองกำลัง ก็พบว่า เนื้อหาของเพลงปลุกใจในระดับชาตินั้นผูกพันอยู่กับความเป็นชาติ ประวัติศาสตร์และวีรชนต่างๆ ในขณะที่เพลงระดับกองทัพผูกพันอยู่กับสถานการณ์รบของแต่ละเหล่าทัพ และเพลงในระดับกองกำลังผูกพันอยู่กับการชักชวนให้เกิดความสามัคคีต่อกัน ในแง่ของผู้แต่งเพลงนั้น พบว่า เพลงปลุกใจส่วนใหญ่เกิดขึ้ยจากผู้แต่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้แต่งเพลงกับเนื้อหาของเพลง แต่เนื้อหาของเพลงมีความสัมพันธ์กับแก่นสารของเพลงนั้นๆ อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้การพิจารณาถึงภาษา สำนวน และการใช้คำในเพลงปลุกใจ แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของเพลงปลุกใจไทยนั้นมีส่วนส่งเสริมการปกครองระบอบปชะชาธิปไตย และส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองไทยและการพัฒนาทางการเมืองของไทย โดยเพลงปลุกใจได้มีการพัฒนาแนวทาง เนื้อหา และแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของเนื้อหามานับตั้งแต่ปี 2511 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 2525 ซึ่งเน้นให้มีการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนมากขึ้น อันเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทางการเมืองของไทยให้ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไปในอนาคต

Share

COinS