Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ต้นทุนและรายได้จากการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Cost and revenue of onion plantation in the Northern Region of Thailand
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
วิเชียร ภู่สว่าง
Second Advisor
วรกัลยา วัฒนสินธุ์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การบัญชี
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.430
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการรักษาต้นทุนและรายได้จากการปลูกหัวหอมใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยแยกออกตามลักษณะพื้นที่การปลูก คือในพื้นที่ดินเชิงเขา และพื้นที่นา ซึ่งแบ่งขนาดเนื้อที่เพาะปลูกที่จะทำการศึกษาออกเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 1-5 ไร่ ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 6-10 ไร่ และขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 1-5 ไร่ เป็นขนาดที่เกษตรกรปลูกมากที่สุด ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการสำรวจข้อมูลของการปลูกหัวหอมหัวใหญ่ปีการเพาะปลูก 2525/2526 2526/2527/ และ 2527/2528 โดยการออกแบบสอบถามเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในอำเภอสันป่าตอง และอำเภอฝางจังหวัดเชียงใหม่จำนวน 86 ราย คือขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 1-5 ไร่ จำนวน 60 ราย ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 6-10 ไร่ จำนวน 20 ราย ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 11-20 ไร่ จำนวน 6 ราย สำหรับการหาผลตอบแทนจากการปลูกหอมหัวใหญ่ เป็นการวิเคราะห์โดยใช้อัตราผลตอบแทนจากค่าขาย อัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนการเพาะปลูกกำไรที่เป็นตัวเงินสด และการวิเคราะห์จดคุ้มทุน ผลการศึกษาปรากฏว่า ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 1-5 ไร่ ปีการเพาะปลูก 2525/2526 2527/2528 ในพื้นที่ดินเชิงเขามีต้นทุนการปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,175.24-6,810.47 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 8,449.72-11,385.68 บาท ส่วนพื้นที่นามีพื้นที่การปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,425.78-6,532.71 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 7,908.69-8,677.50 บาท แต่การปลูกหอมหัวใหญ่ในพื้นที่ดินเชิงเขา มีอัตราผลตอบแทนจากการปลูกหอมหัวใหญ่ และกำไรที่เป็นตัวเงินสูงกว่าพื้นที่นา อีกทั้งปริมาณหอมหัวใหญ่ ณ จุดคุ้มทุนต่ำกว่าพื้นที่นา สำหรับเนื้อที่เพาะปลูกขนาด 6-10 ไร่ ปีการเพาะปลูก 2525-2526 – 2527/2528 ในพื้นที่ดินเชิงเขามีต้นทุนการปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,619.93 – 7,695.67 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 8,079.50 – 10,496.00 บาท ส่วนในพื้นที่นามีต้นทุนการปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,428.93 – 6,493.91 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 8,744.48 – 10,614.56 บาท แต่การปลูกหอมหัวใหญ่ในพื้นที่นามีอัตราผลตอบแทนจากการปลูกหอมหัวใหญ่สูงกว่าพื้นที่ดินเชิงเขา และปริมาณหอมหัวใหญ่ ณ จุดคุ้มทุนต่ำกว่าพื้นที่ดินเชิงเขาส่วนขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 11-20 ไร่ นั้น ปีการเพาะปลูก 2527/2528 ในพื้นที่เชิงเขา มีต้นทุนการปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,444.04 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 10,000.00 บาท ในพื้นที่นาปีการเพาะปลูก 2525/2526 – 2527/2528 มีต้นทุนการปลูกเฉลี่ยไร่ละ 6,642.98 – 8,101.64 บาท และมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 5,832.40 – 10,840.92 บาท แต่ในพื้นที่ดินเชิงเขามีอัตราผลตอบแทนจากการปลูกหอมหัวใหญ่สูงกว่าพื้นที่นา และปริมาณหอมหัวใหญ่ ณ จุดคุ้มทุนต่ำกว่าพื้นที่นา การปลูกหอมหัวใหญ่ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 1-5 ไร่ ในพื้นที่ดินเชิงเขาให้ผลตอบแทนกว่าพื้นที่นา เนื่องจากเกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวเพื่อจำหน่ายได้ในช่วงต้นฤดู ส่วนขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 6-10 ไร่ ในพื้นที่นาให้ผลตอบแทนสูงกว่าพื้นที่เชิงเขา เนื่องจากมีความสามารถในการจัดการด้านตลาดได้ดีกว่าพื้นที่ดินเชิงเขา คือจำหน่ายหอมหัวใหญ่ในราคาดีกว่า ทั้งๆ ที่จำหน่ายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่ขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 11-20 ไร่ในพื้นที่ดินเชิงเขาให้ผลตอบแทนสูงกว่าพื้นทีเนื่องจากมีประสิทธิภาพในการปลูก สามารถประหยัดต้นทุนดีกว่าพื้นที่นา เนื่องจากมีพื้นที่นาเกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงกว่าพื้นที่ดินเชิงเขา ปัญหาสำคัญที่เกษตรกรประสบในการปลูกหอมหัวใหญ่ คือ การจำกัดเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้าและการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ เกษตรกรขาดความรู้ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ขาดความรู้ในการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการเพิ่มผลผลิตการเก็บรักษาหอมหัวใหญ่และการปลูกหอมหัวใหญ่นอกฤดูกาล ตลอดจนปัญหาในด้านการจำหน่ายหอมหัวใหญ่ที่ขาดการสนับสนุนในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศข้อเสนอแนะบางประการที่ใช้เป็นแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นประโยชน์ในการกำหนดและวางแผนส่งเสริมการปลูกหอมหัวใหญ่ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรมากยิ่งขึ้น คือหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาทบทวนปริมาณการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสมกับจำนวนพื้นที่เพาะปลูก และดูแลให้มีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับวิธีป้องกันและปราบศัตรูพืชที่ถูกต้อง พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ทดลอง เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น เพื่อเก็บรักษาหอมหัวใหญ่ให้มีอายุยาวนานขึ้น และสามารถปลูกหอมหัวใหญ่นอกฤดูกาลได้สำเร็จ พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการส่งออก เพื่อขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
สัตยศักดิ์วงศา, เบญจมาศ, "ต้นทุนและรายได้จากการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53936.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53936