Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การศึกษาโอกาสทางการตลาด ของธุรกิจบริการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียน (เฉพาะสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน) ในเขตกรุงเทพมหานคร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
A study on markgting opportunity of pre-school child service (private nursery) in Bangkok metro politan area
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
สุรพัฒน์ วัชรประทีป
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
พาณิชยศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.453
Abstract
ธุรกิจสถานบริการรับเลี้ยงเด็ก จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อปี พ.ศ. 2497 นับเป็นเวลา 30 ปีพอดี ในระยะแรกๆ นั้น ความนิยมยังไม่ค่อยมีมาก เพิ่มปรากฏว่าอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจุบัน คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร นิยมแยกครอบครัวออกมาอยู่ต่างหาก เป็นลักษณะครอบครัวเล็กที่เรียกว่า ครอบครัวเดี่ยว (Nuclear family) และข้อจำกัดทางด้านสภาพสังคมและเศรษฐกิจจึงทำให้ภรรยาต้องทำงานนอกบ้านเพื่อจุนเจือครอบครัวอีกแรงหนึ่ง ประกอบกับยุคปัจจุบันสตรีมีการศึกษาที่ค่อนข้างสูงเท่าเทียมชาย จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สตรีจำนวนมากนิยมออกทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกัน จากภาวะเช่นนี้ ทำให้ครอบครัวส่วนใหญ่ประสบปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก เนื่องจากอาชีพการงาน ทำให้ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกได้เหมือนแต่ก่อน เป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจสถานรับเลี้ยงเด็กมีขึ้นมากมาย เพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการในด้านการเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงเห็นว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่น่าสนใจศึกษา โดยเฉพาะในแง่ของโอกาสทางการตลาดว่ามีผู้ใช้บริการจำนวนมากเพียงใดที่นิยมฝากลูกกับสถานบริการรับเลี้ยงเด็ก และให้ทราบถึงความคิดเห็นของผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการเกี่ยวกับข้อดีและข้อบกพร่องของธุรกิจ เพื่อจะได้นำกลยุทธ์ทางการตลาดมาปรับใช้ได้ถูกต้อง และเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ที่คิดจะลงทุนในธุรกิจนี้ รวมทั้งเป็นแหล่งความรู้เบื้องต้นแก่ผู้ที่สนใจศึกษาอีกด้วย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์จากการศึกษาวิจัยทั้งสิ้น การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ ผู้ศึกษาใช้หลักและวิธีการทางสถิติเข้าช่วยในการวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูล โดยอาศัยแบบสอบถาม 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามที่ใช้เพื่อศึกษาผู้ประกอบการในเรื่องการดำเนินกิจการสถานรับเลี้ยงเด็ก ตลอดจนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อธุรกิจนี้ จำนวนทั้งหมด 40 สถานประกอบการ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่ใช้เพื่อศึกษาส่วนของผู้ใช้บริการ จำนวน 400 ตัวอย่าง ในเขตกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับทัศนคติและความคิดเห็นที่มีต่อสถานรับเลี้ยงเด็กในปัจจุบันและโอกาสทางการตลาดในอนาคต ตลอดจนขอจำกัดที่ผู้ใช้บริการได้รับจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงลูกเองได้ และต้องหันไปพึ่งบริการของสถานรับเลี้ยงเด็กในที่สุด นอกจากนี้เป็นการศึกษาข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับผู้ใช้บริการ อันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสถานประกอบการที่จะนำไปพิจารณาเพื่อปรับธุรกิจให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้บริการให้ได้มากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยยังได้อาศัยข้อมูลทุติยภูมิจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานรับเลี้ยงเด็ก ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาเพื่อนำมาวิเคราะห์และสนับสนุนผลการวิจัยให้เด่นชัดยิ่งขึ้น จากผลของการศึกษาวิจัยทำให้ทราบว่า โอกาสทางการตลาดของธุรกิจสถานรับเลี้ยงเด็กกำลังเป็นที่ต้องการและนิยมมากในปัจจุบัน และจะยิ่งมีมากยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ความต้องการใช้บริการต่างๆ จะสัมพันธ์กับรายได้ที่ผู้ใช้บริการได้รับ และส่วนใหญ่ผู้ใช้บริการนิยมฝากลูกกับสถานรับเลี้ยงเด็กประเภท ไป-กลับ อีกด้วย สำหรับด้านผู้ประกอบการรับลี้ยงเด็ก การศึกษาค้นคว้าทำให้ทราบในสิ่งต่อไปนี้ การบริการ ส่วนใหญ่รับเลี้ยงเด็กประเภท เช้าไป-เย็นกลับ การเลี้ยงลูกรวมถึงการฝึกทักษะ ความรู้ความสามารถตามวัย ตลอดจนการสอนการเรียนอ่านพอสมควร ขนาดและสถานที่ตั้ง เท่าที่ทำมา มักเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กขนาดเล็ก ดำเนินกิจการโดยเจ้าของคนเดียว และอาศัยบ้านพักเป็นที่ทำการ การกำหนดราคา อาศัยค่าใช้จ่ายเป็นเครื่องกำหนดอัตราค่าบริการ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่เสนอต่อลูกค้าอีกด้วย การส่งเสริมการจัดจำหน่าย ผู้ประกอบการยังไม่นิยมการทำโฆษณา เนื่องจากไม่เห็นความสำคัญและประโยชน์ของการโฆษณาส่วนใหญ่ยังอาศัยชื่อเสียงและระยะเวลาเป็นเครื่องวัดความเชื่อถือของผู้ใช้บริการ สำหรับผู้ประกอบการที่ทำโฆษณาบ้างนั้น ป้ายโฆษณาเป็นสื่อที่นิยมมากที่สุด ส่วนด้านของผู้ใช้บริการ จากการศึกษาค้นคว้าทำให้ทราบว่า 1. ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงในระดับปริญญาตรีโดยเฉลี่ยเป็นครอบครัวที่มีบุตรประมาณ 2 คน มีอาชีพรับราชการ เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างบริษัทเอกชน และอาชีพค้าขาย เป็นครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ย 6,000-15,000 บาทต่อเดือน 2. สาเหตุของการฝากลูกกับสถานรับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากข้อจำกัดด้านอาชีพ การงาน ทำให้ไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูเองได้ 3. ปัจจัยที่ใช้เลือกสถานรับเลี้ยงเด็กที่นำลูกไปฝากคือ ความเชื่อถือได้และความปลอดภัย เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน และเรียกเก็บในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม 4. ผู้ใช้บริการร้อยละ 90 ที่ฝากลูกกับสถานบริการรับเลี้ยงเด็ก ไม่เคยทราบข่าวสถานรับเลี้ยงเด็กจากการโฆษณาเลย จุดนี้แสดงให้เห็นว่า การตลาดยังเข้าไม่ถึงธุรกิจประเภทนี้เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ความต้องการของผู้ใช้บริการมีมากและเข้าใจว่ายังมีผู้ที่สนใจอีกมากมาย เพียงแต่ยังไม่ได้รับการกระตุ้นความต้องการเท่าที่ควร ซึ่ง ณ จุดนี้หากผู้ประกอบการรู้จักใช้กลยุทธทางการตลาดที่เหมาะสมแล้ว จะสามารถช่วยดึงความสนใจและสร้างความต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายให้หันมาใช้บริการสถานรับเลี้ยงเด็กในที่สุด 5. ผู้ใช้บริการเกือบทั้งหมดต้งอการฝากลูกคนต่อไปกับสถานรับเลี้ยงเด็กในอนาคต อันเป็นจุดที่ชี้บ่งให้เห็นชัดว่า ธุรกิจสถานบริการรับเลี้ยงเด็กจะต้องเป็นธุรกิจที่มีโอกาสทางการตลาดที่ดีมากธุรกิจหนึ่งต่อไปอย่างแน่นอน สำหรับปัญหาและอุปสรรคของธุรกิจ จำแนกได้ดังนี้ 1. ขนาดของธุรกิจยังเป็นแบบเล็กๆ ต่างคนต่างทำโดยไม่ค่อยคำนึงถึงคู่แข่งขันมากนัก ทำให้โอกาสในการใช้ประโยชน์ทางการตลาดมาช่วยบริหารธุรกิจเป็นไปได้น้อยมาก 2. ปัญหาด้านพี่เลี้ยงยังไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทำให้บ่อยครั้งที่เกิดปัญหาอัตราการหมุนเวียนและเปลี่ยนตัวพี่เลี้ยงมีสูงมาก 3. การดำเนินเงินภายในสถานรับเลี้ยงเด็ก ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควรเพราะขาดการวางแผนงานและระบบที่ดี 4. ปัญหาด้านกฎระเบียบและความช่วยเหลือของรัฐ ยังขาดความสม่ำเสมอ
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
อมตวรกุล, อโณทัย, "การศึกษาโอกาสทางการตลาด ของธุรกิจบริการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียน (เฉพาะสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน) ในเขตกรุงเทพมหานคร" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53818.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53818