Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
วิเคราะห์การบริหารเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Fund management analysis of Bonk for Agriculture and Agricultural Cooperatives
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
วิรัช อารมย์ดี
Second Advisor
วัฒนพร พึ่งบุญ ณ อยุธยา
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.415
Abstract
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ตั้งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนแก่ภาคการผลิตการเกษตรโดยเฉพาะ ทั้งนี้เนื่องจากการเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ แต่การผลิตการเกษตรยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกหลายประการ เงินทุนก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง และแม้ว่าจะมีสถาบันการเงินต่างๆมากมาย แต่สถาบันการเงินที่มีอยู่ไม่อาจสนองความต้องการทางการเงินแก่ภาคการเกษตรได้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจึงเป็นทางออกของปัญหาในเรื่องแหล่งของเงินทุนเพื่อการผลิตการเกษตรของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นธนาคาร การดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจึงมีส่วนที่เหมือนกับการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์อยู่บ้าง กล่าวคือ จะต้องแข่งขันระดมเงินฝากโดยจ่ายอัตราดอกเบี้ยเท่าๆกับธนาคารอื่นซึ่งปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดร้อยละ 13 ต่อปี และในฐานะที่เป็นธนาคารเฉพาะกิจ จึงมีการดำเนินงานแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์อยู่บ้างเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการให้กู้ยืมหรือให้สินเชื่อการเกษตรแก่เกษตรกรเป็นสำคัญและสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ขณะที่ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมแก่กิจการต่างได้อย่างกว้างขวางและคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดได้ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี จากเงื่อนไขเหล่านี้หากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรระดมเงินทุนจากเงินฝากเป็นหลัก และผลต่างของอัตราดอกเบี้ยทั้งสองเพียงร้อยละ 2 ต่อปี เมื่อพิจารณารวมกับค่าใช้จ่ายดำเนินงานด้วยแล้ว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรก็ไม่อาจดำเนินงานต่อไปได้และวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนแก่เกษตรกรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาและวิเคราะห์แหล่งที่มาของเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ต้นทุนของเงินทุนแต่ละประเภท โดยศึกษาและวิเคราะห์จากข้อมูลระหว่างปี 2515 – 2525 ศึกษาวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายต่างๆ และกำไรจากการดำเนินงาน ตลอดจนพิจารณาว่าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนแก่เกษตรกรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำจริงหรือไม่ จากการศึกษา พบว่าการบริหารเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในด้านแหล่งที่มาของเงินทุนนั้น มิได้มุ่งระดมเงินฝากเป็นสามัญ เพราะเงินฝากมีต้นทุนเงินทุนสูงที่สุด ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้นในระยะแรกของการดำเนินงาน แหล่งที่มาของเงินทุนที่สำคัญ จึงได้แก่ เงินกองทุน เงินกู้ยืม และเงินฝากตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายให้ธนาคารพาณิชย์ขยายสินเชื่อการเกษตรเพิ่มมากขึ้น และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่สามารถให้สินเชื่อการเกษตรได้ตามเป้าหมาย ก็ให้นำเงินส่วนที่ต่ำกว่าเป้าหมายฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงสร้างแหล่งที่มาของเงินทุนจึงเริ่มเปลี่ยนไป เงินฝากได้เพิ่มบทบาทขึ้นเป็นลำดับ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแหล่งที่มาของเงินทุนดังกล่าว มีผลกระทบต่อต้นทุนเงินทุนโดยตรง ขณะที่การปรับตัวให้สูงขึ้นทางด้านอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม กระทำได้ค่อนข้างยากและเพิ่มขึ้นได้ในอัตราที่ช้า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจึงประสบปัญหาการดำเนินงานและต้องพยายามหาแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาผสมกับแหล่งเงินฝากที่มีต้นทุนสูงเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและในการนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมแก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ลงเป็นลำดับ คือจากร้อยละ 5 ต่อปี เป็นร้อยละ 3.5 ต่อปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 และลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เพื่อดึงต้นทุนเงินทุนโดยส่วนรวมให้ต่ำลง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ก็สามารถให้กู้ยืมเงินแก่เกษตรกรในอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปได้ ทางด้านแหล่งที่ใช้ไปของเงินทุนได้เน้นการให้กู้ยืมแก่เกษตรกรเป็นสำคัญทั้งเป็นการให้กู้ยืมแก่เกษตรกรโดยตรงและโดยผ่านสถาบันเกษตรกร นอกจากนี้ในระยะหลังมีการจัดสรรเงินทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น กล่าวคือนอกฤดูการผลิตการเกษตรความต้องการสินเชื่อลดลง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จะนำเงินบางส่วนไปหาผลประโยชน์โดยฝากไว้กับธนาคารอื่น และบางส่วนก็นำไปลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตร ( Repurchase Market ) จากการศึกษาถึงต้นทุนรวมและรายได้ทั้งสิ้นจากการดำเนินงาน พบว่าผลต่างของอัตราทั้งสองมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากต้นทุนเงินทุนมีแนวโน้มสูงขึ้นขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายดำเนินงานก็สูงขึ้นด้วย และเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารพาณิชย์ พบว่าค่าใช้จ่ายดำเนินงานของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ ส่วนทางด้านรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าเพิ่มขึ้นของต้นทุน และหากดำเนินงานยังเป็นไปในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป ภายในปี 2530 อัตราต้นทุนจะสูงกว่าอัตรารายได้ แต่คาดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะผู้บริหารจะต้องมีการปรับปรุงในเรื่องของต้นทุนและรายได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานของ ธกส.เป็นไปอย่างราบรื่นอีกต่อไป จากการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ ( Correlation ) ของอัตราการขยายตัวของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พบว่าเมื่อขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นสินเชื่อดังกล่าวจะกระจายไปสู่เกษตรกรมากขึ้น และค่าใช้จ่ายดำเนินงานก็สูงตามไปด้วย ดังนั้นการขยายกิจการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรออกไป จึงมิใช่เป็นการเพิ่มความสามารถทำกำไรให้สูงขึ้นจนกล่าวสรุปได้ว่าการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มุ่งที่จะเป็นแหล่งเงินทุนแก่เกษตรกรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะมุ่งกำไร
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ยมนา, นิจธร, "วิเคราะห์การบริหารเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53812.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53812