Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การใช้เรื่องรักร่วมเพศในนวนิยายไทย พ.ศ. 2516-พ.ศ. 2525

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The theme of homosexuality in Thai, 1973-1982

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

รื่นฤทัย สัจจพันธุ์

Second Advisor

อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

วรรณคดีเปรียบเทียบ

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.625

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มุ่งวิเคราะห์การนำเรื่องรักร่วมเพศมาใช้ในนวนิยายไทยช่วงเวลา พ.ศ.2516 - 2525 โดยศึกษาถึงเรื่องรักร่วมเพศทางทฤษฎีจิตวิทยา ปรากฏการณ์ทางสังคมและลักษณะที่นักเขียนนำไปใช้ในนวนิยาย โดยมีลำดับขั้นตอนการศึกษาดังนี้ คือ ในขั้นแรก เป็นการศึกษาเรื่องรักร่วมเพศทางทฤษฎีจิตวิทยา โดยศึกษาถึงความหมายของคำว่ารักร่วมเพศ ประเภทของคนรักร่วมเพศ ลักษณะทางจิตวิทยา ปัญหาของคนรักร่วมเพศ สาเหตุและการรักษา จากการศึกษาพบว่า ความหมายของคนรักร่วมเพศในทางทฤษฎีบางประเภท เช่น กะเทย มีความแตกต่างจากความหมายที่ใช้ในสังคม และนักประพันธ์ใช้ลักษณะคนรักร่วมเพศในนวนิยายตามความเข้าใจของสังคม ขั้นที่สอง เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศในสังคม โดยศึกษาถึงความเป็นมาของพฤติกรรมรักร่วมเพศในสังคมตะวันตก และในสังคมไทย พบว่าเรื่องรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแต่โบราณ อาจกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษยชาติ การยอมรับหรือปฏิเสธคนรักร่วมเพศนั้นขึ้นอยู่กับกาลเวลาและความนิยมของสังคมแต่ละสมัย สำหรับสังคมไทยจากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ แสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่ในอดีตยังไม่ยอมรับ ทำให้คนรักร่วมเพศอับอายในการแสดงความเป็นรักร่วมเพศให้ปรากฏ ตราบจนสมัยต่อมา การเปิดเผยตนจึงมีมากขึ้นด้วยแรงผลักดันประการใหญ่ ๆ 3 ประการคือ เกิดจากการพัฒนาการทางวิชาการและวัตถุเกิดจากค่านิยมที่เปลี่ยนแปลง และเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของครอบครัว การเปิดเผยตนของกลุ่มคนรักร่วมเพศนี้ส่งผลกระทบถึงวงการนวนิยายไทยในแง่ที่กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับนักประพันธ์ใช้ในการสร้างนวนิยาย ขั้นที่สาม เป็นการศึกษาถึงการใช้เรื่องรักร่วมเพศในวรรณกรรมไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ หนึ่ง ในยุควรรณกรรมก่อนนวนิยาย สองในนวนิยายก่อน พ.ศ. 2516 และสามในนวนิยายช่วง พ.ศ. 2516 - พ.ศ.2525 จากการศึกษาพบว่าในสองช่วงแรก คือ ในยุคก่อนนวนิยายและในนวนิยายก่อน พ.ศ.2516 นั้น มีการนำเรื่องรักร่วมเพศไปใช้ในการประพันธ์น้อยมาก ลักษณะการใช้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเสนอความบันเทิงเป็นสำคัญ ขั้นที่สี่ ผู้วิจัยศึกษาถึงการนำเรื่องรักร่วมเพศมาใช้ในนวนิยายไทย พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2525 อย่างละเอียด พบว่าเรื่องรักร่วมเพศปรากฏในนวนิยายเป็นที่แพร่หลายสามารถแบ่งได้เป็นลักษณะใหญ่ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่หนึ่ง นำมาใช้เป็นแก่นเรื่องผู้ประพันธ์มุ่งเสนอถึงเรื่องราวของคนรักร่วมเพศโดยตรง โดยเสนอทั้งปัญหาของคนรักร่วมเพศ ผู้เกี่ยวข้องและทัศนคติทางสังคมที่มีต่อคนรักร่วมเพศ ทั้งนี้ผู้ประพันธ์ได้ศึกษาถึงข้อมูลทางจิตวิทยาและใช้ข้อมูลนั้นประกอบในนวนิยายด้วย ลักษณะที่สอง คือการนำมาใช้สร้างเป็นตัวละครในนวนิยายที่มีแก่นเรื่องประเภทอื่น การนำมาใช้สร้างตัวละครนี้พบว่านักประพันธ์ใช้สร้างทั้งตัวละครเอกและตัวละครรอง ในกลุ่มตัวละครรอง ผู้ประพันธ์ได้เสนอเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่หนึ่งแทรกทัศนคติทางสังคมและแสดงปัญหาของคนรักร่วมเพศแฝงไว้ด้วย ในขณะที่ลักษณะที่สอง ผู้ประพันธ์เพียงนำลักษณะคนรักร่วมเพศมาใช้สร้างเป็นตัวละคร โดยไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะเสนอถึงปัญหาของคนเหล่านี้อย่างจริงจัง การวิจัยนี้ทำให้พบว่า การแพร่หลายของกลุ่มคนรักร่วมเพศมีผลกระทบต่อวงการนวนิยายไทยอย่างมาก อันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของนวนิยายไทยว่ามีความสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งเรื่องรักร่วมเพศที่ถูกนำมาใช้ในนวนิยายนี้นอกจากจะเพิ่มคุณค่าให้แก่นวนิยายในแง่พัฒนาการด้านเนื้อหาแล้ว ในเรื่องที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจศึกษาถึงข้อมูลทางวิชาการ และสอดแทรกความรู้นั้นไว้ในนวนิยาย ยังเป็นการเสริมสร้างเนื้อหาให้มีสาระและความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น การนำเรื่องรักร่วมเพศมาใช้ในนวนิยายไทย แม้จะอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการในแง่ตัวละครเอก ซึ่งเคยเป็นชายจริงหญิงแท้ได้เปลี่ยนเป็นคนรักร่วมเพศ ในกาลเวลาเบื้องหน้า แม้ความนิยมในการใช้เรื่องรักร่วมเพศในการสร้างเป็นแก่นเรื่องจะลดน้อยลง แต่สันนิษฐานได้ว่าเรื่องรักร่วมเพศที่จะคงเหลืออยู่ในนวนิยาย คือตัวละครรักร่วมเพศที่อาจปรากฏในบทบาทต่างกันตามความเหมาะสมของเนื้อเรื่อง

Share

COinS