Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความคิดเรื่องการติดข้องและความหลุดพ้นจากทุกข์ในพุทธปรัชญาเถรวาท

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The Concepts of bondage and liberation from suffering in Theravada Philosophy

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

วิจิตร เกิดวิสิษฐ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.598

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาเรื่องการติดข้องและความหลุดพ้นจากทุกข์ในพุทธปรัชญาเถรวาท พุทธปรัชญาสอนให้เห็นความจริงเกี่ยวกับชีวิตว่ามนุษย์มีทั้งสุขและทุกข์ ชีวิตปุถุชนมักแสวงหาความสุขขั้นต่ำได้แก่กามสุข ซึ่งมีความสุขหลายชนิดที่เต็มไปด้วยทุกข์มากกว่าสุขตามความหมายที่แท้ของมัน พุทธปรัชญาสอนให้แสวงหาความสุขขั้นสูง ซึ่งมีความประณีตกว่าอันได้แก่ความสุขที่มีความสงบในระดับต่างๆ กัน ซึ่งระดับสูงสุดเรียกว่านิพพาน การที่พุทธปรัชญามีทัศนะว่าชีวิตมนุษย์มีความทุกข์มากกว่าความสุข ก็เพราะมีชีวิตมีทั้งทุกข์ประจำและทุกข์จร ทุกข์ประจำคือการเกิดซึ่งจะต้องมีการแก่การเจ็บและการตายตามอย่างแน่นอน ส่วนทุกข์จร คือความทุกข์กายและทุกข์ใจ เนื่องจากความเจ็บไข้ ความวิตกกังวล และความรักหวงแหน การได้สิ่งที่ไม่ปรารถนา และไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา เป็นต้น ถ้ามนุษย์สามารถขจัดความทุกข์ใจได้เขาก็จะได้พบความสุขที่แท้จริงตลอดไป สำหรับธรรมชาติของมนุษย์นั้น พุทธปรัชญามีทัศนะว่าประกอบด้วยขันธ์ 5 คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันอยู่ภายใต้กฏของไตรลักษณ์ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และสลายไปในที่สุด กระแสชีวิตที่ไหลเวียนอยู่เสมอไม่หยุดนี้เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท โดยมีอวิชชาเป็นมูลราก กระแสนี้ไหลเวียนเรื่อยไปเรียกว่าสังสารวัฏ ซึ่งทำให้มนุษย์ติดข้องอยู่ในทุกข์ ถ้ามนุษย์แก้ไขความทุกข์และแสงหาความสุขในทางที่ไม่ถูกต้อง ทุกข์จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งนี้เพราะมนุษย์ยังไม่สามารถขจัดสาเหตุของความทุกข์ของชีวิตคืออวิชชา อวิชชาได้แก่ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ซึ่งหมายความรวมถึงไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทและไตรลักษณ์ด้วย เมื่อมนุษย์มีอวิชชา ตัณหาและอุปทานก็จะเกิดตามมา รวมเรียกว่ากลุ่มกิเลสในวัฏฏะ 3 อุปาทานจะยึดถือขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตนเป้ฯตัวของเรา อันเรียกว่าอุปาทานขันธ์ ซึ่งก่อให้เกิดทุกข์เพราะความยึดมั่น และเป็นเหตุให้ทำกุศลกรรมและอกุศลกรรมต่างๆ ซึ่งมีผลตามมาเรียกว่าวิบากอันได้แก่ภพภูมิต่างๆ ถ้าทำอกุศลกรรมจะเกิดในอบายภูมิคือนรก เดรัจฉาน เปรตและอสุรกาย ถ้าทำกุศลกรรมจะเกิดในกามสุคติภพ ได้แก่รูปภพ อรูปภพ อันเป็นเหตุให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ คือวจรของภวจักร ซึ่งได้แก่วัฏฏะ 3 คือกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ ความทุกข์นี้สามารถดับได้ตามหลักของอริยสัจ คือแทนที่มนุษย์จะวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฏด้วยอวิชชา มนุษย์ควรจะแก้ปัญหาชีวิตด้วยปัญญา โดยเปลี่ยนมาเดินตามทางสายกลาง คือมัชฌิมาปฏิปทาตามหลักอริยสัจ 4 (อันได้แก่อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งย่อลงได้เป็นการปฏิบัติ 3 ระดับ เรียกว่าไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา) มนุษย์ก็จะสามารถขจัดอวิชชาเสียได้ อริยมรรคนี้มีสติปัฏฐาน 4 เป็นเครื่องมือสำคัญ ซึ่งรวมการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน อันเป็นขั้นสุดท้ายที่จะทำให้เกิดปัญญาคือวิชชา เมื่อไม่มีอวิชชา ความยึดมั่นในตัวตนและของของตนก็หมดไป กิเลสซึ่งเป็นปัจจัยให้ต้องทำกรรมก็ไม่มี วงจรของวัฏฏะจึงถูกตัดขาดออกจากกัน เมื่อสิ้นกรรม ไม่มีผลของกรรม ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ อีกต่อไป นับเป็นการสิ้นสุดลงแห่งสังสารวัฏเป็นการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อันเรียกว่านิพพาน นิพพานเป็นภาวะที่อธิบายได้ยาก มีความประเสริฐสมบูรณ์ และเป็นสุขอย่างแท้จริง อาจอธิบายได้ว่าเป็นภาวะที่สงบ บริสุทธิ และเป็นอิสระ ปราศจากเครื่องร้อยรัดคืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นภาวะเหนือสุขและทุกข์ในความหมายทั่วไป ภาวะนี้เป็นประสบการณ์ที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง

Share

COinS