Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โครงการเสนอเพื่อพัฒนาคณาจารย์ในวิทยาลัยครู

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A proposed project for faculty development in teachers colleges

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

พรชุลี อาชวอำรุง

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

อุดมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.292

Abstract

วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1. ศึกษารูปแบบของการพัฒนาคณาจารย์ 2. สำรวจความต้องการในการพัฒนาคณาจารย์ และวิเคราะห์ปัญหาในการพัฒนาคณาจารย์ 3. เปรียบเทียบความคิดเห็นในการพัฒนาคณาจารย์ระหว่างอาจารย์กับผู้บริหาร 4. เสนอโครงการพัฒนาคณาจารย์วิทยาลัยครู ซึ่งประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ผู้รับผิดชอบ, การจัดตั้งหน่วยงาน, งบประมาณ ตลอดจนวิธีดำเนินงาน ระยะเวลาและอื่น ๆ วิธีดำเนินการวิจัย เพื่อให้การวิจัยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้แบ่งขั้นตอนการวิจัยออกเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สำรวจความเห็น 1.1 ศึกษาวิธีการและรูปแบบของการพัฒนาคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศจากเอกสาร ตำรา ผลงานวิจัย ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้มีประสบการรณ์ด้านการ พัฒนาคณาจารย์ 1.2 นำแนวความคิดจากข้อ 1.1 มาพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้ได้ กับโครงสร้างของวิทยาลัยครู เพื่อนสร้างแบบสอบถามสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วนำไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 10 ท่านตรวจสอบเพื่อให้แบบสอบถามมีความตรงตามเนื้อหา และครอบคลุมขอบเขตของการวิจัย แล้วจึงนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 40 คน เพื่อหาความเที่ยง ( Reliability ) โดยวิธีแบ่งครึ่ง ( Split-half method ) ของเพียร์สัน ( Pearson’s product moment correlation coefficient ) หาความเที่ยวเต็มฉบับโดยใช้สูตรของ สเพียร์แมน-บราวน์ (Spearman-Brown) ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.99 แบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ได้นำไปใช้จริงกับผู้บริหารและอาจารย์ในวิทยาลับครู 12 แห่ง จำนวน 466 คน ได้รับแบบสอบถามที่สามารถจะนำมาวิเคราะห์ได้ 430 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 92.27 2. นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 3 ขั้นตอน คือ ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ตอนที่ 2 ความรู้และความต้องการเสริมความรู้ในบทบาทและภารกิจด้านการสอน ด้านการอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำการ ด้านการวิจัย ด้านการให้บริการทางวิชาการแก่ชุมชนและสังคม ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม วิเคาระห์โดยค่ามัชณิมเลขคณิต ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบด้วยทีเทสต์ ( t-test ) และ เอฟเทสต์ ( F-test ) เมื่อพบความแตกต่างระหว่างคู่ได้ทดสอบ F ด้วย Scheffe ‘s method ตอนที่ 3 ความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนาคณาจารย์ วิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ร้อยละ 3. นำผลการวิเคราะห์ข้อมูล และข้อมูลจาก 1 มาออกแบบโครงการเสนอเพื่อพัฒนาคณาจารย์ในวิทยาลัยครู ผลการวิจัย การสรุปผลการวิจัยในครั้งนี้ แยกสรุปเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะของแบบสอบถามที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1. สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 36-40 ปี แต่งงานแล้ว มีระยะเวลาปฏิบัติราชการระหว่าง 11-15 ปี มีวุฒิปริญญาโททางการศึกษา ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็นอาจารย์ 2 ระดับ 5-6 และมาจากคณะวิชาครุศาสตร์ แต่อาจารย์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-35 ปี แต่งงานแล้ว มีระยะเวลาปฎิบัติราชการระหว่าง 6-10 ปี มีวุฒิปริญญาโททางการศึกษา ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็นอาจารย์ 2 ระดับ 5-6 และมาจากคณะวิชาวิทยาศาสตร์ 2. ความรู้และความต้องการเสริมความรู้ ในบทบาทและภารกิจทั้ง 5 ด้านของอาจารย์วิทยาลัยครู พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ 2.1 การจัดลำดับความรู้เกี่ยวกับบทบาทและภารกิจทุก ๆ ด้าน พบว่าทั้งผู้บริหารและอาจารย์ มีความรู้ตรงกันทุก ๆ ด้านคือ ลำดับแรก บทบาทและภารกิจด้านการสอน ลำดับสุดท้าย บทบาทด้านการวิจัย 2.2 การจัดลำดับความต้องการเสริมความรู้เกี่ยวกับบทบาทและภารกิจทุก ๆ ด้านพบว่า ทั้งผู้บริหารและคณาจารย์ มีความต้องการตรงกันเกือบทุกด้าน ผู้บริหารและอาจารย์ต้องการเสริมความรู้อันดับแรกคือ บทบาทและภารกิจด้านการวิจัย อันดับที่ 2 คือ บทบาทด้านการให้บริการทางวิชาการแก่ชุมชนและสังคม และลำดับสุดท้ายคือ บทบาทและภารกิจด้านการสอน 2.3 การเปรียบเทียบความรู้และความต้องการเสริมความรู้เกี่ยวกับบทบาท และภารกิจทุก ๆ ด้าน ระหว่างผู้บริหารและอาจารย์ ทดสอบด้วยสถิติทีเทสต์ ( t-test ) พบว่าทั้งผู้บริหารและอาจารย์ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 เลย 2.4 การเปรียบเทียบความรู้และความต้องการเสริมความรู้เกี่ยวกับบทบาทและภารกิจทุก ๆ ด้าน ระหว่างผู้บริหารและอาจารย์ ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ( One way analysis of Variance ) กำหนดความมีนัยสำคัยที่ระดับ .05 พบว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย 3. ความคิดเห็นของผู้บริหารและอาจารย์ที่มีต่อการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคณาจารย์ ผู้บริหารและอาจารย์มีความคิดเห็นตรงกันว่า ควรจะมีหน่วยพัฒนาคณาจารย์ที่เป็นหน่วยงานอิสระจัดขึ้นกลุ่มวิทยาลัยละหนึ่งแห่ง โดยมีคณาจารย์จากทุก ๆ วิทยาลัยในกลุ่มเดียวกันเป็นกรรมการร่วมดำเนินการ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานสนับสนุนให้คณะวิชาต่าง ๆ จักกิจกรรมเพื่อพัฒนาคณาจารย์ตลอดจนให้ความช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณ จัดหาวิทยากรและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาจากทุกภาควิชาหรือทุกคณะวิชาจากวิทยาลัยครูในกลุ่มวิทยาลัยครูเดียวกันรูปแบบในการจัดก็เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการและ/ หรือหลาย ๆ วิธีโดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเรื่องและกิจกรรมที่จัด 4. การเสนอโครงการพัฒนาคณาจารย์วิทยาลัยครู เพื่อส่งเสริมให้สามารถปฎิบัติภารกิจตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 การเสนอ “ โครงการเสนอเพื่อพัฒนาคณาจารย์ในวิทยาลัยครู “ ผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยเสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า “ศูนย์พัฒนาคณาจารย์วิทยาลัยครูกลุ่ม…" กลุ่มวิทยาลัยครูละ 1 แห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการเสริมความรู้ของผู้บริหารและอาจารย์เกี่ยวกับบทบาทและภารกิจแต่ละด้านในระดับแรก ๆ ทั้ง 5 ด้านมาจัดโปรแกรมการพัฒนาคณาจารย์ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ในการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ครั้งต่อไปอาจจะ 1. การวิจัยครั้งต่อไปควรจะทดสอบความรู้และความต้องการเสริมความรู้เปรียบเทียบระหว่างผู้บริหารและอาจารย์ โดยกำหนดตัวแปรระหว่าง เพศ คณะวิชา วุฒิที่ได้รับ 2. ควรมีการศึกษาวิจัยซ้ำ เพื่อทดสอบความแตกต่างเกี่ยวกับความรู้และความต้องการเสริมความรู้ระหว่างผู้บริหารและอาจารย์ 3. ควรจะทำการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาคณาจารย์วิทยาลัยครูเปรียบเทียบกับสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ที่มีการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคณาจารย์

Share

COinS