Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ลักษณะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูง

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Characteristics of prathom suksa six students with high learning achievement in methematics

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

ดวงเดือน อ่อนน่วม

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ประถมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.158

Abstract

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูง ในด้านร่างกาย สติปัญญา ความรู้สึกนึกคิด สังคม และสภาพแวดล้อมทางครอบครัว วิธีดำเนินการวิจัย ตัวอย่างประชากรประกอบด้วย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูง ซึ่งเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร จำนวน 57 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกมา ครูประจำชั้นจำนวน 41 คน ครูสอนคณิตศาสตร์จำนวน 35 คน และบิดามารดาหรือผู้ปกครองของนักเรียนดังกล่าว จำนวน 57 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบทดสอบภาคทฤษฎี กลุ่มทักษะ(คณิตศาสตร์) ของสำนักงานทดสอบทางการศึกษา กรมวิชาการ แบบทดสอบสมรรถภาพทางสมองแมทริชีสก้าวหน้ามาตรฐานของราเวน แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสารของโรงเรียน แบบสัมภาษณ์ 4 ชุด ได้แก่ แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบสัมภาษณ์ครูประจำชั้น แบบสัมภาษณ์ครูสอนคณิตศาสตร์ และแบบสัมภาษณ์บิดามารดาหรือผู้ปกครองของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย 1.ลักษณะทางร่างกาย นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูงเป็นชายมากกว่าหญิง คือเป็นชายร้อยละ 65 และเป็นหญิงร้อยละ 35 มีอายุกระจายตั้งแต่ 10 - 12 ปี ส่วนใหญ่มีอายุ 11 ปี ซึ่งมีอยู่ร้อยละ 68 ส่วนใหญ่คือร้อยละ 93 และ 95 มารดามีสุขภาพสมบูรณ์และบำรุงรักษาสุขภาพขณะตั้งครรภ์นักเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 72 มีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 3,000 กรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักตามทฤษฎีของเด็กไทยแรกเกิด ส่วนใหญ่ร้อยละ 91 สามารถพูดได้และเดินได้ก่อนอายุ 18 เดือน ซึ่งเป็นอายุที่พูดได้และเดินได้ตามทฤษฎีพัฒนาการของเด็กไทย ในวัยเด็กมีสุขภาพสมบูรณ์ซึ่งมีถึงร้อยละ 91 ในปัจจุบันมีสุขภาพสมบูรณ์ ซึ่งมีถึงร้อยละ 95 มีความเจริญเติบโตด้านน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเด็กทั่วไป 2.ลักษณะทางสติปัญญา นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูง มีสมรรถภาพทางสมอง 2 ระดับ คือ ร้อยละ 86 มีสมรรถภาพทางสมองระดับฉลาดมาก และร้อยละ 14 มีสมรรถภาพทางสมองระดับฉลาด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทุกกลุ่ม ประสบการณ์โดยเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 82 ของคะแนนเต็ม ส่วนใหญ่ร้อยละ 98 มีความจำดี ร้อยละ 96 และ 91 มีความสามารถในการอ่านและการพูดดี ร้อยละ 49 สามารถคิดเลขได้รวดเร็วถูกต้องแม่นยำ ร้อยละ 56 สามารถสรุปกฎเกณฑ์หลักการเกี่ยวกับคณิตศาสตร์และสามารถประยุกต์สิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้ในบทเรียนใหม่ ได้ดี ร้อยละ 49 สามารถวิเคราะห์ปัญหาคณิตศาสตร์ได้ดี ในวัยเด็กมักตั้งคำถามแปลก ๆ และซักถามปัญหายาก ๆ ซึ่งมีถึงร้อยละ 80 และ 53 ตามลำดับ มีความสนใจเกี่ยวกับตัวเลขและช่างสังเกต ซึ่งมีถึงร้อยละ 44 และ 40 ตามลำดับ 3.ลักษณะทางความรู้สึกนึกคิด นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูง ทุกคนเห็นว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีประโยชน์ต่อชีวิตกระจำวันมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ 75 ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุด และร้อยละ 39 ชอบเรียนวิชากลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพน้อยที่สุด ส่วนใหญ่ร้อยละ 53 ชอบกีฬาปานกลาง กีฬาที่ชอบเล่น คือ วิ่ง และว่ายน้ำ กิจกรรมยามว่างของนักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 74 ชอบอ่านหนังสือ อาชีพที่นักเรียนสนใจมีถึง 9 อาชีพ ในจำนวนนี้เลือกอาชีพแพทย์สูงสุด ซึ่งมีถึงร้อยละ 56 4.ลักษณะทางสังคม นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์สูงส่วนใหญ่คบเพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งมีถึงร้อยละ 60 รองลงมาร้อยละ 32 คบเพื่อนที่โตกว่า เพื่อนที่นักเรียนชอบมักเป็นคนเรียนเก่งมีผลการเรียนในระดับเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่ร้อยละ 46 เพื่อนที่นักเรียนไม่ชอบส่วนใหญ่ร้อยละ 61 และ 49 ไม่ชอบเพื่อนที่เกเรชอบแกล้งหรือรังแกผู้อื่น และเพื่อนที่เห็นแก่ตัวเอาเปรียบผู้อื่นไม่ให้ความร่วมมือ และส่วนใหญ่ร้อยละ 79 ชอบทำงานร่วมกับเพื่อน ส่วนใหญ่มีการปรับตัวได้ดีทั้งต่อบุคคลแวดล้อม และสภาวการณ์ 5.สภาพแวดล้อมทางครอบครัว บิดามารดามีหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่มีเชื้อชาติจีน ซึ่งมีถึงร้อยละ 81 บิดามารดามีการศึกษากระจายตั้งแต่ไม่ได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาเอก อาชีพของบิดามารดากระจายอยู่หลายสาขา ครอบครัวมีรายได้กระจายมากตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 80,000 บาทต่อเดือน นักเรียนมีพี่น้องตั้งแต่ 1 คน ถึง 10 คน ส่วนใหญ่ร้อยละ 30 และ 28 มีพี่น้องจำนวน 3 คน และ 2 คน ตามลำดับ ร้อยละ 42 เป็นบุตรคนแรก บิดามารดาให้การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย บิดามารดาส่วนใหญ่ร้อยละ 58 รู้สึกชอบคณิตศาสตร์มาก และร้อยละ 44 ส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์แก่บุตรมาก

Share

COinS