Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปรียบเทียบผลจากการใช้รูปแบบการเทียบมาตรา ที่ต่างกันเมื่อแบบสอบร่วมมีความยาวต่างกัน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A comparision of results from the application of different equating models at different length of anchor tests

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

สวัสดิ์ ประทุมราช

Second Advisor

เยาวดี วิบูลย์ศรี

Third Advisor

ชูศักดิ์ ธัมภลิขิต

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาเอก

Degree Discipline

การวัดและประเมินผลการศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.34

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้รูปแบบการเทียบมาตราที่ต่างกันสามรูปแบบ คือ 1) รูปแบบอีควิเปอร์เซนไตล์ 2) รูปแบบเชิงเส้นตรง และ 3) รูปแบบอิงทฤษฎีการตอบข้อสอบแบบโลจจิสติคสามพารามิเตอร์ ด้วยการออกแบบเทียบมาตราโดยมีแบบสอบร่วมชนิดภายในที่มีความยาวต่างกันสามขนาด ซึ่งคิดเป็นร้อยละของแบบสอบเทียบมาตรา (35 ข้อ) คือ มีขนาดร้อยละ 60 (21 ข้อ) ขนาดร้อยละ 40 (14 ข้อ) และขนาดร้อยละ 20 (7 ข้อ) การประเมินผลการเทียบมาตรากระทำโดยการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการเทียบมาตรา ซึ่งเป็นเกณฑ์ภายในเพื่อเปรียบเทียบความแม่นยำระหว่างวิธีเทียบภายในรูปแบบเดียวกัน และการวิเคราะห์กลุ่มสอบทานผล ซึ่งเป็นเกณฑ์ภายนอกเพื่อเปรียบเทียบความเพียงพอ ระหว่างวิธีเทียบมาตราโดยตรงกับผลสุดท้ายของการเทียบมาตรา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีสองกรณี คือ กรณีแบบสอบคัดเลือก และกรณีแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สำหรับกรณีแรกประชากรผู้สอบ คือ ผู้เข้าสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเข้าทำงาน จำนวน 15,875 คน ส่วนกรณีหลังประชากร คือ ผู้ลงทะเบียนวิชาที่เลือกมาใช้ในการวิจัยระดับปริญญาตรีจำนวน 12,383 คน ในแต่ละกรณีใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 1500 คน จำนวน 2 กลุ่ม สำหรับแบบสอบที่ใช้ในการเทียบมาตราแบ่ง เป็นชุด X และชุด Y ซึ่งมีจำนวนชุดละ 35 ข้อ และแบบสอบร่วม V ซึ่งมีสามขนาด ได้แก่ 21 ข้อ 14 ข้อ และ 7 ข้อนั้น ทำหน้าที่วัดความรู้หรือความสามารถเชิงจิตวิทยาที่ใกล้เคียงกัน ข้อสอบเหล่านี้สุ่มเลือกจากแบบสอบชนิดเลือกตอบเดิม 100 ข้อ ของสถานการณ์การสอบจริงทั้งสองกรณี แบบสอบร่วมขนาดร้อยละ 20 เป็นซับเซทของขนาดร้อยละ 40 และต่างก็เป็นซับเซทของขนาดร้อยละ 60 ภายหลังการผนวกแบบสอบร่วมเข้ากับแบบสอบเทียบมาตราแล้วได้แบบสอบที่ใช้ในการวิจัยรวม 3 คู่ คือ XV60-YV60 XV40-YV40 และ XV20-YV20 ความเที่ยงของแบบสอบแต่ละคู่ใกล้เคียงกัน (คู่ที่มีความเที่ยงต่างกันมากที่สุดต่างกันอยู่ .05) ส่วนการออกแบบการวิจัยนั้นได้ออกแบบให้กลุ่มแรก ∝ ทำแบบสอบชุด X กับแบบสอบร่วม (V) กลุ่มหลัง β ทำแบบสอบชุด Y กับแบบสอบร่วม (V) ในแต่ละกรณีใช้รูปแบบการเทียบมาตรา 3 รูปแบบ สร้างตารางแปลงคะแนนสมมูลจากคะแนนชุด Y ไปยังชุด X แล้ววิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการเทียบมาตรา คำนวณค่าดัชนีประสิทธิภาพสัมพัทธ์ (RE) การวิเคราะห์กลุ่มสอบทานผลนั้น กระทำโดยคำนวณค่าดัชนีเปรียบเทียบความแตกต่าง (C) ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนรวมและทดสอบความแตกต่างของค่าอันดับของดัชนีด้วยการทดสอบรายคู่ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. การเทียบมาตราแบบสอบชุดที่คล้ายกันโดยมีกลุ่มผู้สอบสองกลุ่มที่สุ่มจากประชากรเดียวกันทั้งกรณีแบบสอบคัดเลือก และแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ให้ผลการเทียบมาตราที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ทั้ง 9 วิธี ทั้งที่เกิดจากการใช้รูปแบบการเทียบมาตราที่ต่างกัน และใช้แบบสอบร่วมที่มีความยาวต่างกัน 2. ความยาวของแบบสอบร่วมเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความแม่นยำ และความเพียงพอของวิธีเทียบมาตรา เมื่อความยาวแบบสอบร่วมเพิ่มขึ้นความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการเทียบมาตราลดลง และความคลาดเคลื่อนรวมจากการวิเคราะห์กลุ่มสอบทานผลก็ลดลงด้วย แต่เมื่อแบบสอบเทียบมาตราทั้งคู่มีค่าความเที่ยงสูงใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ผลกระทบที่เกิดจากการเพิ่มความยาวของแบบสอบร่วมเห็นได้ไม่ชัดเจน3. ในสถานการณ์ของการสอบคัดเลือก และการสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น การเทียบมาตราด้วยรูปแบบเดียวกัน ให้ผลที่แตกต่างกันเมื่อประเมินด้วยความคลาดเคลื่อนรวม กล่าวคือ ในกรณีแบบสอบคัดเลือก รูปแบบที่ให้ผลดีตามลำดับ คือ อีควิเปอร์เซนไตล์ รูปแบบอิงทฤษฎีการตอบข้อสอบ และรูปแบบเชิงเส้นตรง ส่วนในกรณีแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ รูปแบบที่ให้ผลดีตามลำดับ คือ รูปแบบเชิงเส้นตรง รูปแบบอีควิเปอร์เซนไตล์ และรูปแบบอิงทฤษฎีการตอบข้อสอบ

Share

COinS