Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การประยุกต์แนวความคิดเรื่องเกมภาษาของวิตเกนสไตน์ ในการอธิบายเรื่องของความหมายในภาษาศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีภาษาของสำนักสันติอโศก
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
An application of Wittgenstein's concept of a language game to the concept of meaning in religious language : a case study of Santi- Asoka's language
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
เสรี พงศ์พิศ
Second Advisor
มารค ตามไท
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
ปรัชญา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.746
Abstract
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัญหาทางศาสนาในมิติที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องการใช้ภาษาศาสนา โดยอาศัยแนวความคิดเรื่องเกมภาษาของวิตเกนสไตน์เป็นกรอบในการพิจารณา และอาศัยตัวอย่างการใช้ภาษาศาสนาของสำนักสันติอโศก หรือกลุ่มชาวอโศกเป็นตัวแบบของการศึกษาวิจัยวิธีการศึกษาในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้อาศัยทั้งการวิจัยจากเอกสาร และการวิจัยภาคสนาม ซึ่งใช้วิธีการทางมนุษย์วิทยาโดยเข้าไปสังเกตการณ์ ร่วมในกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ตลอดจนทดลองใช้ชีวิตตามแบบวิถีชีวิตทางศาสนาของกลุ่มชาวอโศกจากการศึกษาพื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการใช้ภาษาศาสนาในบทที่ ๒ ช่วยให้เข้าใจถึงประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันในหมู่นักปรัชญาทางตะวันตก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเด็นปัญหาการใช้ภาษาศาสนาที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนาแล้ว พบว่ามีพื้นฐานคล้ายคลึงกันกล่าวคือ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการรับเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นแม่บทของความจริงและความมีเหตุผล ฐานะของศาสนาภายใต้วิธีคิดแบบนี้ จึงตกต่ำลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กิจกรรมที่นักการศาสนาทั้งทางตะวันตกและตะวันออกพยายามกระทำ จึงอยู่ที่ความพยายามหาทางอธิบายคำสอนทางศาสนาให้สอดคล้องกับพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เห็นว่า คำสอนทางศาสนานั้นก็เป็นเรื่องที่มีความเป็นเหตุผล และเป็นความจริงที่น่าเชื่อถือเช่นเดียวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และจากการศึกษาแนวความคิดของวิตเกนสไตน์ในบทที่ ๓ ทำให้เห็นว่าความรู้ของมนุษย์นั้นอาจจำแนกออกได้เป็น ๓ ระดับ คือ ในระดับของประสาทสัมผัสที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Fact) ระดับของความนึกคิดที่สัมพันธ์กับภาษาอย่างแนบแน่นซึ่งเกี่ยวกับความจริง (Truth) และระดับของสัจจะความเป็นจริง (Reality) ที่อยู่เหนือความจริงในระดับของความนึกคิดอีกขั้นหนึ่ง สิ่งที่วิตเกนสไตน์ชี้ให้เห็นในความคิดช่อวงแรกก็คือ ความจริงที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยความคิดและพูดถึงได้ด้วยภาษานั้น เป็นแค่ความจริงในระดับที่ ๒ นี้เท่านั้น และจากความคิดช่วงหลังของวิตเกนสไตน์ ซึ่งเมื่อสังเคราะห์เข้ากับแนวความคิดเรื่องการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ( Paradigm Shift ) ของโทมัส คูน ก็ช่วยให้เข้าใจต่อไปว่า ความหมายของภาษาเป็นสิ่งที่ผังตัวอยู่ในมิติของกาล-อวกาศ ภายใต้แบบวิถีชีวิตและปริบทของเกมภาษาในกระบวนทัศน์หนึ่งๆ นั้น ด้วยเหตุนี้ความจริงในระดับที่มนุษย์เข้าใจกับทั่วไป จึงไม่ได้มีอยู่อย่างตายเป็นภววิสัย เพราะเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับมิติของกาล-อวกาศในแต่ละกระบวนทัศน์ด้วยในบทที่ ๔ เมื่อนำเอาความคิดเรื่องเกมภาษาของวิตเกนสไตน์มาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ปัญหาภาษาศาสนาของสำนักสันติโศก ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพุทธที่กำลังชาวพุทธที่กำลังมีความขัดแย้งกับชาวพุทธกลุ่มอื่นในพุทธศาสนากระแสหลัก แต่ก็สัญญาณหลายอย่างชี้ให้เห็นว่าการใช้ภาษาของชาวพุทธกลุ่มนี้เป็นประสบความสำเร็จในการสื่อความกับคนในสังคมปัจจุบัน พบว่า การอธิบายคำสอนทางพุทธศาสนาของชาวอโศกมีลักษณะเป็นกระบวนทัศน์หนึ่งของพุทธศาสนาด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งในมิติด้านการเข้าใจความหมายของภาษาศาสนาไม่ตรงกันจึงเกิดขึ้นเนื่องจากการมีการใช้ภาษาศาสนาชุดเดียวกับภายใต้ปริบทของเกมภาษา ในกระบวนทัศน์ที่แตดต่างกันในกรณีที่มีกระบวนทัศน์ของการอธิบายคำสอนทางพุทธศาสนาอย่างสมเหตุสมผลในตัวเองมากกว่าหนึ่งกระบวนทัศน์ ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ถ้ามองในระดับของสัจจะความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีทางจะหาเกณฑ์ใด ๆ มาตัดสินใจได้ว่า กระบวนทัศน์ใดถูต้องตรงตามเจตนารมณ์ที่พระพุทธองค์มุ่งหมายถึง เพราะเป็นความจริงที่อยู่พ้นกรอบของภาษาและความนึกคิด ซึ่งเราไม่อาจแสวงหาที่สุดของความรู้หรือความจริงในระดับนี้ได้ด้วยการแสวงหาที่สุดของคำตอบ แต่เราอาจมีทางประจักษ์ถึงที่สุดของความรู้หรือความจริงดังกล่าวได้ด้วยการแสวงหาที่สุดของคำถาม ความรู้หรือสัจจะความจริงในระดับนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้รู้แต่ละคนจะพึงประจักษ์แจ้งได้เฉพาะตน โดยไม่อาจถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยภาษาใดๆโดยตรงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากความหมายของภาษาเป็นสิ่งที่ฝังตัวอยู่ภายใต้แบบวิถีชีวิตหนึ่งๆฉะนั้น เมื่อมองจากกรอบของความจริงในระดับที่สามารถพูดถึงได้ เราจึงพอจะหาข้อยุติของการถกเถียงในขอบเขตหนึ่งว่า กระบวนทัศน์ของการอธิบายพุทธศาสนาแบบใดถูกหรือผิดได้จากการเปรียบเทียบเคียงกับศีลหรือวินัยต่างๆ ที่สะท้อนถึงแบบวิถีชีวิตทางศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม และมีข้อถกเถียงน้องที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นไปได้ เพราะภายใต้และวิถีชีวิตทางศาสนาที่ใกล้เคียงกับแนวทางที่พระพุทธศาสนาที่วางอยู่บนพื้นฐานของแบบวิถีชีวิตดังกล่าว จะเป็นกระบวนทัศน์ที่มีความหมายใกล้เคียงกับเจตจำนงที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายด้วย จากสาเหตุนี้ศีลและวินัยต่างๆ ที่พระพุทธองค์บัญญัติขึ้น จึงมีความสำคัญสูงสุดในฐานะเป็นศาสดาของศาสนาแทนตัวพระองค์หลังจากที่ทรงปรินิพพานไปแล้วข้อสรุปของการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดจากปัญหาการเข้าใจภาษาศาสนาไม่ตรงกัน จึงอยู่ที่การหันกลับไปสู่การมีแบบวิถีชีวิตทางศาสนาตามที่ศาสดาของแต่ละศาสนามุ่งหมายถึง ซึ่งผู้วิจัยเชื่อว่า การแสวงหากระบวนทัศน์ของการอธิบายคำสอนทางศาสนาที่กลับไปสู่การมีแก่นสารของแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมทางศาสนา ซึ่งจะนำไปสู่การลดละความต้องการส่วนเกินของชีวิตมีความขยันขันแข็ง และมีจิตสำนึกที่เอื้ออาทรต่อชีวิตร่วมโลกอื่นๆ ที่ขาดแคลนกว่า ภายใต้กระบวนทัศน์ของการอธิบายคำสอนทางศาสนาเช่นนี้เท่านั้นที่จะเป็นหนทางทำให้คำสอนทางศาสนาคืนกลับสู่การมีบทบาทสำคัญต่อการแก้ปัญหาของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ดังเช่นที่ศาสนาต่างๆ เคยมีบทบาทอย่างสำคัญต่อประวัติอารยธรรมของมนุษย์ในอดีตมาแล้ว
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เศรษฐ์บุญสร้าง, สุนัย, "การประยุกต์แนวความคิดเรื่องเกมภาษาของวิตเกนสไตน์ ในการอธิบายเรื่องของความหมายในภาษาศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีภาษาของสำนักสันติอโศก" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 47301.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/47301