Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
A comparative study of corneal transparency between patients with familial hypercholesterolemia and patients with hypercholesterolemia without familial hypercholesterolemia
Year (A.D.)
2024
Document Type
Thesis
First Advisor
วีรพันธุ์ โขวิฑูรกิจ
Second Advisor
ภรณี กนกโรจน์
Faculty/College
Faculty of Medicine (คณะแพทยศาสตร์)
Department (if any)
Department of Medicine (ภาควิชาอายุรศาสตร์ (คณะแพทยศาสตร์))
Degree Name
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
อายุรศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.2024.756
Abstract
ที่มา: การวินิจฉัยและประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในโรคคอเลสเตอรอลสูงจากพันธุกรรม (Familial Hypercholesterolemia, FH) มีปัจจัยหลายประการมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการสะสมไขมันที่กระจกตา (Arcus cornealis) ปัจจุบันการวัดค่าความขุ่นของกระจกตา (Corneal Densitometry, CD) เป็นวิธีเชิงปริมาณที่สามารถประเมินระดับความขุ่นของกระจกตาได้แม่นยำกว่าการวัดโดยวิธีตรวจร่างกาย อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาที่เปรียบเทียบค่าความขุ่นของกระจกตาในผู้ป่วย FH และไม่ใช่ FH หรือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าความขุ่นกระจกตากับระดับ LDL-C ในเลือด วัตถุประสงค์: ศึกษาเปรียบเทียบระดับความขุ่นของกระจกตาจากการสะสมของไขมัน โดยการวัด corneal densitometry ในผู้ป่วย FH เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ใช่ FH และ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความขุ่นของกระจกตาในผู้ป่วยโรค FH และผู้ป่วยไม่ใช่ FH กับระดับ LDL-C ในเลือด วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวางนี้ได้รวมดวงตาจำนวน 98 ดวงจากผู้ป่วย FH จำนวน 49 ราย และ 98 ดวงจากผู้ป่วยที่ไม่เป็น FH จำนวน 49 ราย ผลลัพธ์หลักของการศึกษานี้คือการเปรียบเทียบค่าความขุ่นของกระจกตา (CD) ระหว่างผู้ป่วยที่เป็น FH และไม่เป็น FH ผลลัพธ์รองคือความสัมพันธ์ระหว่างค่าความขุ่นของกระจกตากับระดับ LDL-C ในเลือด ผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกคนได้รับการตรวจทางจักษุวิทยาและการถ่ายภาพกระจกตาด้วยเครื่อง Scheimpflug เพื่อตรวจวัดค่าความขุ่นของกระจกตา นอกจากนี้ จะทำการตรวจวัดระดับไขมันในเลือด ได้แก่ Total Cholesterol, Triglycerides, LDL-C และ HDL-C และทำการหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าความขุ่นของกระจกตากับ LDL-C ในเลือดโดยใช้ LDL-C burden ซึ่งทำการวิเคราะห์โดย Spearman’s correlation ผลการวิจัย:อัตราส่วนระหว่างเพศชายต่อเพศหญิงในกลุ่มผู้ป่วย FH และกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เป็น FH คือ 15/34 และ 12/37 รายตามลำดับ (P = 0.499) อายุเฉลี่ยของกลุ่มผู้ป่วย FH และกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เป็น FH อยู่ที่ 52 ± 13 และ 51 ± 13 ปี ตามลำดับ (P = 0.585) ในกลุ่มผู้ป่วย FH ที่ไม่มีการสะสมไขมันรอบดวงตา (no arcus cornealis) มีค่าความขุ่นของกระจกตา (CD) เฉลี่ยในชั้นกระจกตาด้านหน้า (anterior corneal layer) บริเวณโซน 6 ถึง 12 มม. นับจากจุดศูนย์กลางของกระจกตา สูงกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น FH อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.015) นอกจากนี้ พบว่าค่า LDL-C มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญกับค่าความขุ่นของกระจกตาในชั้นกลาง (central corneal layer) ที่ตำแหน่ง (2–6 มม.) (r = 0.209, P = 0.039) รวมถึงในทุกชั้นของกระจกตา (anterior, central, posterior, total corneal layer) ในบริเวณโซน 6-10 มม. (r = 0.450, 0.488, 0.411, 0.458, P < 0.0001 ตามลำดับ) และโซน 10-12 มม. (r = 0.396, 0.424, 0.406, 0.425, P < 0.0001 ตามลำดับ) สรุปผล: ค่าความขุ่นของกระจกตาในผู้ป่วย FH ที่ไม่มีการสะสมของไขมันรอบกระจกตามีค่าสูงขึ้นในชั้นกระจกตาด้านหน้า ตั้งแต่บริเวณกึ่งกลางกระจกตาด้านข้างไปจนถึงบริเวณรอบนอก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่เป็น FH นอกจากนี้ พบว่า LDL-C burden มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับค่าความขุ่นของกระจกตา
Other Abstract (Other language abstract of ETD)
Background: Diagnosing and assessing cardiovascular risk in familial hypercholesterolemia (FH) involves various factors, including arcus cornealis. Corneal densitometry (CD) provides a quantitative and objective way to detect arcus cornealis. However, no study has compared CD in FH and non-FH patients or explored its association to serum lipid levels. Methods: This cross-sectional analytical study included 98 eyes from 49 FH patients and 98 eyes from 49 age-sex matched non-FH patients. The primary objective was to compare the difference of CD in FH and non-FH patients. The secondary objective aimed to study the associations between the CD with serum LDL-C level. All participants underwent ophthalmologic examination and corneal Scheimpflug imaging to measure CD. Serum lipid markers, including total cholesterol (TC), triglycerides, LDL-C, and HDL-C, were evaluated, Spearman correlation analysis was used to assess the relationship between CD and the LDL-C burden, with P < 0.05 considered statistically significant. Results: The male to female ratio was 15/34 and 12/37 in the FH and non-FH groups, respectively (P = 0.499). The mean age was 52 ± 13 and 51 ± 13 years in the FH and non-FH groups, respectively (P = 0.585). Among patients without arcus cornealis, the mean CD values in the anterior corneal layer extending from zone 6 to 12 mm were higher in the FH than in the non-FH group (P 0.015). There were a significant positive correlation between the LDL-C burden and the CD value of the central corneal layer (2–6 mm) (r = 0.209, P = 0.039), all corneal layers (anterior, central, posterior, total) extending from zone 6-10 mm (r = 0.450, 0.488, 0.411, 0.458, P < 0.0001, respectively) and 10-12 mm (r = 0.396, 0.424, 0.406, 0.425, P < 0.0001, respectively) Conclusions: The CD of FH patients without arcus cornealis was found to increase in the anterior corneal layer extends from the cornea’s paracentral zone to peripheral zone compared to non-FH patients. The LDL-C burden was positively correlated with the CD value.
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
หาญตระกูล, ภาสุ, "การศึกษาเปรียบเทียบระดับความขุ่นของกระจกตาในผู้ป่วยโรคคอเลสเตอรอลสูงทางพันธุกรรมกับผู้ป่วยโรคคอเลสเตอรอลสูงที่ไม่ใช่โรคคอเลสเตอรอลสูงทางพันธุกรรม" (2024). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 74594.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/74594