Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
ปัญหาอนามัยเจริญพันธุ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ต่อการใช้บริการสุขภาพ ในสตรีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร
Year (A.D.)
2024
Document Type
Thesis
First Advisor
May Chan Oo
Faculty/College
College of Public Health Sciences (วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข)
Degree Name
Master of Public Health
Degree Level
Master's Degree
Degree Discipline
Public Health
DOI
10.58837/CHULA.THE.2024.1245
Abstract
Reproductive health (RH) refers to a state of complete physical, mental, and social well-being in all aspects of reproductive system. Strengthening health system’s capacity, particularly through improving health service utilization (HSU), is key to enhancing RH outcomes. Despite services availability, access RH care remains limited. Evidence on RH service utilization (RHSU) among Japanese female expatriates is scarce, especially through the lens of Andersen’s Behavioral Model of Health Service Use (BMSU). This study is aimed to find factors associated with RHSU for dysmenorrhea, premenstrual syndrome (PMS), menopausal symptoms, and contraceptive use among Japanese female expatriates in Bangkok, using BMSU framework. A community-based, cross-sectional quantitative study was conducted in Bangkok, Thailand, involving 326 participants with at least one of the mentioned conditions, recruited through a chain-referral sampling. An online survey was used to collect data on predisposing, enabling, and need factors, as well as RHSU for the four mentioned conditions. Analysis was performed using SPSS version 29.0.2.0, applying descriptive and inferential statistical methods, with significance set at p-value< 0.05. Overall, 35.3% reported RHSU for these issues. The mean age was 40.08 ± 6.90 years, and mean duration of residence in Bangkok was 45.78 ± 52.52 months. Only 13.2% reported fluency in Thai. Bivariate analysis revealed significant associations between RHSU and age, length of residence, Thai language proficiency, self-efficacy, over-the-counter hormonal contraceptive, habit of eating healthy food, usual source of RH, health information from co-workers, knowledge on health service and insurance coverage, self-rated health status, headaches and migraine, menopausal symptoms, daily life interference, and RH medical history. In the multivariate analysis of Model 2, among respondents who are not contraceptive users, insurance (AOR = 0.263, 95%CI = 0.076-0.902, p-value = 0.026), habit of eating healthy food (AOR = 0.408, 95%CI = 0.196-0.851, p-value = 0.017), usual source of RH (AOR = 0.432, 95%CI = 0.202-0.923, p-value = 0.030), knowledge on health service (AOR = 0.429, 95%CI = 0.186-0.988, p-value = 0.047), and no RH medical history (AOR = 0.424, 95%CI = 0.183-0.985, p-value = 0.046) were identified as significant factors associated with RHSU. For habit of eating healthy food, usual source of RH, knowledge on health service, and no RH medical history remained significant in Model 3 among non-contraceptive users with menstruation. Despite experiencing RH problems, majority of women do not visit gynecologists, even when symptoms are severe. In Thailand, language barriers may impede access to reliable RH information. To overcome the information gap, RH information in both Thai and Japanese should be provided by healthcare providers, especially gynecologists, along with pre-departure counseling, which could enhance RHSU in this population.
Other Abstract (Other language abstract of ETD)
สุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Health : RH) หมายถึง ภาวะของความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคมอย่างแท้จริง ในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ การเสริมสร้างขีดความสามารถของระบบสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการเพิ่มการเข้าถึงและใช้บริการด้านสุขภาพ (Health Service Utilization : HSU) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ แม้ว่าจะมีบริการด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ให้ใช้บริการอย่างเพียงพอ แต่หลายคนยังคงไม่เข้าถึงการดูแลด้านนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีหลักฐานข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Health Service Utilization : RHSU) ในกลุ่มผู้หญิงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาผ่านกรอบทฤษฎีพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของแอนเดอร์เซน (Andersen’s Behavioral Model of Health Service Use) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Health Services : RHS) ในการดูแลอาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea) อาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) อาการวัยหมดประจำเดือน (Menopausal Symptoms) และการใช้ยาคุมกำเนิด ในกลุ่มผู้หญิงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของแอนเดอร์เซนเป็นแนวทางการวิเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณแบบตัดขวาง (Cross-sectional Quantitative Study) ในชุมชน ถูกดำเนินการในกรุงเทพมหานครประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมศึกษา จำนวน 326 คน ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการหนึ่งหรือมากกว่าที่กล่าวมา การเก็บตัวอย่างผู้เข้าร่วมเป็นไปตามวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ (Chain-referral Sampling Method) ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมผ่านแบบสำรวจออนไลน์ที่ประเมินปัจจัยนำ (Predisposing Factors) ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) และปัจจัยความต้องการ (Need Factors)โดยรวมแล้ว ผู้เข้าร่วมร้อยละ 35.3 รายงานว่าเคยใช้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์เพื่อดูแลปัญหาดังกล่าว อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมอยู่ที่ 40.08 ± 6.90 ปี และระยะเวลาเฉลี่ยในการพำนักอยู่ที่กรุงเทพมหานครเท่ากับ 45.78 ± 52.52 เดือน มีเพียงร้อยละ 13.2 ของผู้เข้าร่วมที่รายงานว่ามีความสามารถในการใช้ภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว การวิเคราะห์แบบสองตัวแปร(Bivariate Analysis) พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างการใช้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ อายุระยะเวลาที่พำนักในประเทศไทย ความสามารถด้านภาษาไทย การรับรู้ความสามารถของตนเอง การใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนที่หาซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ พฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ แหล่งบริการสุขภาพด้านอนามัยเจริญพันธุ์ที่ใช้เป็นประจำ แหล่งข้อมูลด้านสุขภาพจากเพื่อนร่วมงาน ความรู้เกี่ยวกับบริการสุขภาพและสิทธิประกันสุขภาพ การประเมินสุขภาพตนเอง อาการปวดศีรษะและไมเกรน อาการวัยหมดประจำเดือน ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ จากการวิเคราะห์พหุตัวแปร (Multivariate Analysis) พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการใช้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ได้แก่ อาชีพ (AOR = 0.114, 95% CI: 0.020–0.663, p-value = 0.016),พฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ (AOR = 0.322, 95% CI: 0.139–0.743, p-value = 0.008), แหล่งบริการอนามัยเจริญพันธุ์ที่ใช้เป็นประจำ (AOR = 0.331, 95% CI: 0.135–0.808, p-value = 0.015), การได้รับข้อมูลด้านสุขภาพจากเพื่อนร่วมงาน (AOR = 0.016, 95% CI: 4.055×10-4-0.593, p-value = 0.025), อาการวัยหมดประจำเดือน (AOR = 0.322, 95% CI:0.116–0.890, p-value = 0.029) และประวัติการมีอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) (AOR = 0.279, 95% CI: 0.081–0.967, p-value = 0.044)แม้จะประสบปัญหาด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่กลับไม่ได้ไปพบสูตินรีแพทย์ แม้ในกรณีที่อาการรุนแรงก็ตาม ในประเทศไทย อุปสรรคด้านภาษาอาจเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ที่เชื่อถือได้เพื่อแก้ไขช่องว่างด้านข้อมูลดังกล่าว ควรมีการจัดให้บริการข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ทั้งในภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นโดยบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูตินรีแพทย์ รวมถึงการให้คำปรึกษาก่อนเดินทางมาพำนักในประเทศไทยซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้บริการสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ในกลุ่มผู้หญิงชาวญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในกรุงเทพมหานคร
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
Nakashima, Ayaka, "Reproductive health problems and factors associated with services used among japanese female expatriates in bangkok" (2024). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 74212.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/74212