Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Year (A.D.)
2020
Document Type
Independent Study
First Advisor
พล ธีรคุปต์
Faculty/College
Faculty of Law (คณะนิติศาสตร์)
Degree Name
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
กฎหมายเศรษฐกิจ
DOI
10.58837/CHULA.IS.2020.140
Abstract
บริษัทต่างประเทศที่ประสงค์จะประกอบกิจการขายสินค้าในประเทศไทย อาจใช้วิธีจัดตั้ง บริษัทลูกขึ้นหลายบริษัทและแบ่งแยกหน้าที่งานให้บริษัทลูกทำ เช่น การสนับสนุนการตลาด การ ติดต่อประสานงานกับลูกค้าในประเทศ การนำเสนอสินค้าและรวบรวมคำสั่งซื้อให้กับบริษัท ต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณกำไรที่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย และโยกย้ายกำไรไปยังประเทศที่มี อัตราภาษีที่ต่ำกว่าหรือเป็นดินแดนภาษีต่ำ (Tax haven) เมื่อศึกษากรณีศึกษาการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อสนับสนุนด้านการตลาดในประเทศไทย และ หลักการพิจารณาสถานประกอบการถาวรตามอนุสัญญาภาษีซ้อนตามร่างอนุสัญญาภาษีซ้อนของ OECD และของ UN ประกอบกับคำอธิบายร่างอนุสัญญาภาษีซ้อนของ OECD ฉบับปีค.ศ. 2017 พบว่าการดำเนินการของบริษัทลูกดังกล่าวครอบคลุมถึงการมีบทบาทหลักอย่างเป็นปกติวิสัยของตัว แทนที่ไม่อิสระและทำให้เกิดการตกลงทำสัญญาซึ่งโดยปกติแล้ววิสาหกิจต่างประเทศจะไม่แก้ไขใน สาระสำคัญของสัญญานั้น จึงก่อให้เกิดสถานประกอบการถาวรประเภทตัวแทน และยังถือเป็นการ ดำเนินธุรกิจผ่านสถานธุรกิจประจำของบริษัทต่างประเทศ จึงก่อให้เกิดสถานประกอบการถาวรใน ความหมายทั่วไปด้วย ดังนั้น บริษัทต่างประเทศจึงควรต้องมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย บนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของสถานประกอบการถาวรตามมาตรา 76 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ ยังพบว่าการบังคับใช้บทบัญญัติตามมาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ควร ตีความให้กว้างกว่าการประกอบกิจการโดยสำนักงานสาขาที่จัดตั้งในประเทศไทย ให้ครอบคลุมถึงการ ที่บริษัทต่างประเทศเข้ามามีตัวตนและกระทำกิจการในประเทศไทยในลักษณะของสถานธุรกิจใน ประเทศไทยเสมือนว่าได้กระทำกิจการในประเทศไทยผ่านสาขา อันจะมีผลให้บริษัทต่างประเทศต้องมี ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลในลักษณะเดียวกับการเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าในประเทศไทย โดยตรง โดยอาจวิเคราะห์รายละเอียดของการดำเนินกิจกรรมของบริษัทลูกเพื่อสนับสนุนด้าน การตลาดในประเทศไทย จากการศึกษาปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาเห็นว่ารัฐบาลไทยควรเจรจาแก้ไขอนุสัญญาภาษีซ้อน กับประเทศคู่สัญญามักถูกใช้เป็นฐานในการหลีกเลี่ยงภาษีตามแนวทางการพิจารณาสถาน ประกอบการถาวรของร่างอนุสัญญาภาษีซ้อนของ OECD และ UN เพื่อป้องกันการโยกย้ายกำไรเพื่อ หลีกเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาตินอกจากนี้ ยังเสนอให้ออกคำสั่งกรมสรรพากรเพื่อวางแนวปฏิบัติใน การพิจารณาสถานประกอบการถาวรในความหมายทั่วไปและสถานประกอบการถาวรประเภทตัว แทนที่สอดคล้องกับหลักการของร่างอนุสัญญาภาษีซ้อนของ OECD และ UN และโครงการป้องกัน การถูกกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนกำไรไปต่างประเทศ (BEPS Project) ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็น สมาชิก รวมถึงคำสั่งกรมสรรพากรเพื่อวางแนวปฏิบัติในการพิจารณากิจกรรมที่เข้าลักษณะ “กระทำ กิจการในประเทศไทย” เพื่อการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทต่างประเทศตามบทบัญญัติตาม มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ลีเลิศยุทธ์, ชัยวัฒน์, "ปัญหาการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทต่างประเทศ: ศึกษากรณีบริษัทต่างประเทศจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อสนับสนุนการตลาดในประเทศไทย" (2020). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 7199.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/7199