Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Year (A.D.)
2017
Document Type
Independent Study
First Advisor
ศุภลักษณ์ พินิจภูวดล
Faculty/College
Faculty of Law (คณะนิติศาสตร์)
Degree Name
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
กฎหมายเศรษฐกิจ
DOI
10.58837/CHULA.IS.2017.44
Abstract
จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติประจำปี 2556 มีการจัดประเภทองค์การเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร รวมทั้งหมดมีจำนวน 76,685 แห่ง แบ่งเป็นองค์การทางศาสนา 44,398 แห่ง คิดเป็นจำนวนร้อยละ 57.9 ของจำนวนองค์การเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรทั้งหมด และองค์การทางศาสนามีรายรับสูงถึง 27,215 ล้านบาท การที่วัดถูกจัดเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เพราะตามกฎหมายการจัดตั้งวัดได้กำหนดวัตถุประสงค์การจัดตั้งวัดไว้เพื่อเป็นที่พำนักอาศัยของพระภิกษุสงฆ์และใช้ประกอบศาสนากิจการที่วัดประกอบกิจการแสวงหากำไร จึงเป็นการที่นิติบุคคลดำเนินงานนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิติบุคคล สะท้อนให้เห็นว่ารัฐยังขาดการกากับดูแลการดำเนินกิจการของวัด ทำให้เกิดการดำเนินกิจการที่ไม่เป็นไปวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่องค์กรธุรกิจอื่น เพราะการที่วัดประกอบกิจการแสวงหากำไรเช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไร ถือได้ว่าวัดมีสถานภาพเหมือนกันกับองค์กรธุรกิจ ก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน เสมอภาคกัน จึงจะเกิดความเป็นธรรมในทางภาษีอากร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ วัดกับองค์กรธุรกิจมีสถานภาพในการประกอบกิจการแสวงหากำไรเหมือนกัน ก็ควรเสียภาษีเหมือนกัน ในทางกฎหมายภาษีอากรก็ควรกำหนดให้วัดมีภาระหน้าที่เป็นหน่วยภาษีเหมือนกันกับองค์กรธุรกิจ แต่อาจจะเสียภาษีไม่เหมือนกันเพราะมีสาระสำคัญในเรื่องวัตถุประสงค์การจัดตั้งที่แตกต่างกันตามหลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ดีในเรื่องความเสมอภาคประเด็นปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง คือ การที่รัฐให้สิทธิหักลดหย่อนเงินได้ในส่วนที่เป็นเงินบริจาคให้แก่องค์กรที่ไม่แสวงหากาไร เพราะองค์กรที่ไม่แสวงหากาไรถือเป็นหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุนการให้บริการสาธารณะของรัฐได้ ดังนั้น หากวัดประกอบกิจการแสวงหากำไร การให้สิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคจึงไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบายการบริหารงานในเชิงมหภาค จะเป็นการลดรายได้ของรัฐจากการให้สิทธิหักลดหย่อน และเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของรัฐสาหรับการให้เงินอุดหนุนแก่วัดแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่วัดสามารถประกอบกิจการแสวงหากำไรได้ รัฐจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถนำไปช่วยส่งเสริมสนับสนุนศาสนาให้ทั่วถึงได้ทั้งประเทศ แนวทางการจัดเก็บภาษี กรณีวัดประกอบกิจการแสวงหากาไร คือ การกำหนดให้วัดเป็นหน่วยภาษี เงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากเงินได้ในส่วนที่เกิดจากการประกอบกิจการแสวงหากำไรของวัดได้ เหมือนกับหลักเกณฑ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นและเสนอแนะให้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอน โดยกำหนดประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และจะต้องมีการปรับปรุงข้อมูลประเภทของรายได้ทุกปี อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ ผู้เขียนได้เสนอแนะให้กำหนดประเภทรายได้ตามแนวทางประเภทเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร และฐานภาษีคิดจากกาไรสุทธิ โดยให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาในอัตราเดียวกันกับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นวิธีการอย่างง่าย ทาให้เกิดการบังคับใช้ได้จริงกับวัดทั่วประเทศ
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ทองถาวร, บุญญ์กัญญ์, "แนวทางการจัดเก็บภาษี กรณีวัดประกอบกิจการแสวงหากำไร" (2017). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 6794.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/6794