Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
Year (A.D.)
2017
Document Type
Independent Study
First Advisor
ทัชชมัย ทองอุไร
Faculty/College
Faculty of Law (คณะนิติศาสตร์)
Degree Name
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
กฎหมายเศรษฐกิจ
DOI
10.58837/CHULA.IS.2017.31
Abstract
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในรูปของการลงทุนในประเทศ และด้วยนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า (Value-Based Economy) หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation Driven Economy) ทำให้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560 ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราไม่เกินร้อยละ 50 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี และการหักเงินที่ใช้ไปในการลงทุน (ITA) อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นภาวะทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็มีภาระที่ต้องแบกรับต้นทุนจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวเช่นกัน ประการสำคัญ ปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุน นักลงทุนต่างชาติไม่ได้พิจารณาปัจจัยด้านภาษีเงินได้เพียงปัจจัยเดียว หากแต่ขึ้นกับหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยจากธนาคารโลก ระบุว่า การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้วในประเทศพัฒนาแล้วส่วนประเทศกำลังพัฒนากำลังทยอยยกเลิกมาตรการดังกล่าว ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษามาตรการภาษีในประเทศไทยเพื่อเปรียบเทียบกับมาตรการทางภาษีของประเทศมาเลเซียและประเทศญี่ปุ่นเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมและนำมาปรับใช้กับมาตรการภาษีของประเทศไทย จากการศึกษาและเปรียบเทียบกฎหมายของทั้ง 3 ประเทศ พบว่า มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีอากรเป็นจำนวนที่มากกว่ามาตรการ ITA เนื่องจาก มาตรการ ITA จะให้สิทธินำเงินที่ใช้ไปในการลงทุนมาหักเพียงไม่เกินร้อยละ 70 ของเงินลงทุนนั้น คือ อย่างน้อยที่สุดเงินได้จำนวนร้อยละ 30 ยังคงต้องนำมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราปกติ ซึ่งทำให้รัฐบาลมีงบประมาณที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศได้ต่อไป และหากปีใดไม่เกิดการลงทุนเพิ่มเติม ปีนั้นอาจไม่ได้ใช้สิทธิ ITA ในส่วนนี้ แสดงให้เห็นว่า มาตรการ ITA นี้สะท้อนกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนมากที่สุด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ามาตรการ ITA ย่อมส่งผลดีกับรัฐบาลมากกว่า เพราะจะช่วยลดการสูญเสียรายได้ที่เป็นผลมาจากการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน อีกทั้งภาระภาษีที่ผู้ลงทุนต้องเสียนั้นก็ขึ้นกับการลงทุนตามความเป็นจริง ซึ่งหากผู้ลงทุนต้องการที่จะเสียภาษีน้อย หมายความว่า ผู้ลงทุนต้องลงทุนในปริมาณที่มาก หากเป็นเช่นนี้แล้วจึงบรรลุวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมและการดึงดูดนักลงทุนที่แท้จริง แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper Middle Income Country) แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องพัฒนาประเทศเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทย ประเทศไทยควรมีการเปลี่ยนแปลงมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยนำรูปแบบการหักเงินที่ใช้ไปในการลงทุน (ITA) จากประเทศมาเลเซียและประเทศญี่ปุ่นในส่วนที่เป็นประโยชน์มาปรับใช้กับกฎหมายไทยต่อไป
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เปรมจิตประพันธ์, ชนิกานต์, "แนวทางในการนำหลักการและสิทธิประโยชน์ของการหักเงินที่ใช้ไปในการลงทุน (Investment tax allowance : ITA) มาใช้แทนการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย" (2017). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 6781.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/6781