Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การรวบรวมรายได้แผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2416-2453)
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The consolidation of government revenue in the reign of King Chulalognkorn (1873-1910)
Year (A.D.)
1982
Document Type
Thesis
First Advisor
วิลาสสวงศ์ พงศะบุตร
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
ประวัติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1982.601
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์เรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิรูปการรวบรวมรายได้แผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2416 – 2453) ในตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 – 2416) รัฐบาลขาดหน่วยงานกลางที่จะควบคุมดูแลจัดเก็บรักษาและใช้จ่ายเงินรายได้แผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักรอย่างแท้จริง อำนาจการจัดเก็บและใช้จ่ายเงินภาษีอากรคงกระจายอยู่ในหน่วยงานราชการหลายกรม การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจึงขาดการวางแผนอย่างเป็นระเบียบ ประกอบกับทางการไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวแทนจัดเก็บภาษีอากรของรัฐได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลหรือเจ้าภาษีนายอากร ทำให้เกิดการติดค้างเงินภาษีอากรเป็นจำนวนมาก และมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงกดขี่ข่มเหงราษฎร นอกจากนั้น รัฐบาลกลางยังไม่มีอำนาจในการควบคุมจัดเก็บภาษีอากรในหัวเมืองชั้นนอกและเมืองประเทศราชได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย เงินรายได้แผ่นดินจึงรั่วไหลกระจัดกระจายและติดค้างเป็นจำนวนมาก การปฏิรูปการรวบรวมรายได้แผ่นดินในรัชการพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2416 นี้ แบ่งได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ ระยะแรกระหว่าง พ.ศ. 2416 – 2435 เป็นการจัดระเบียบหน่วยงานการบริหารจัดเก็บภาษีอากรในส่วนกลาง ได้มีการปรับปรุงการทำงานภายในกรมพระคลังมหาสมบัติ ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และต่อมาได้ยกขึ้นเป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลจัดเก็บรักษารายได้แผ่นดินส่วนใหญ่ของประเทศแต่เพียงหน่วยงานเดียว ทั้งมีอำนาจควบคุมพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรของรัฐและเจ้าภาษีนายอากรต่างๆ ให้อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย ส่วนการปฏิรูปในระยะที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2441 – 2453 ทางการได้ขยายอำนาจการควบคุมจัดเก็บภาษีอากรไปสู่ส่วนภูมิภาค โดยอาศัยการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลของกระทรวงมหาดไทยช่วยในการรวมอำนาจทางการคลังจากหัวเมืองและเมืองประเทศราชต่างๆ เข้าสู่ราชธานี ในการนี้ มีปฏิกิริยาต่อต้านจากกลุ่มผู้ปกครองท้องถิ่นผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการปรับปรุงต่างๆ นี้ด้วยบ้าง เช่น กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงในเขตอื่นๆ เลย เป็นเพราะรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ พยายามผ่อนผันแก้ไขวิธีการจัดเก็บต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และระมัดระวังมิให้การเปลี่ยนแปลงนั้นกระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในระยะการปฏิรูปช่วงที่สองนี้ ทางการได้พยายามเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร โดยโอนภาษีอากรหลายชนิดที่เคยให้เอกชนผูกขาดจัดเก็บ มาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำแทนเมื่อปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเหลือภาษีอากรผูกขาดอยู่เพียงไม่กี่ประเภท และระบบเจ้าภาษีนายอากรก็ไม่ใช่แหล่งที่มาสำคัญของรายได้แผ่นดินอีกต่อไป การปฏิรูปการรวบรวมรายได้แผ่นดินนี้ คงมีข้อบกพร่องบางประการที่รัฐบาล ยังไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ เช่น โครงสร้างระบบภาษีอากรส่วนใหญ่เกือบจะมิได้เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลคงพึ่งรายได้จำนวนมากจากภาษีอาการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอบายมุข เช่น ฝิ่น สุรา หวย บ่อนเบี้ย และการพนัน แต่โดยส่วนรวมแล้ว การปรับปรุงนี้ได้ช่วยให้การจัดเก็บภาษีอากรมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากกว่าเดิม ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เสริมสร้างความมั่นคงทางการคลังของชาติ รัฐบาลจึงมีรายได้เพิ่มขึ้นมากเพียงพอที่จะบูรณะพัฒนาความเจริญก้าวหน้าให้แก่บ้านเมือง
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
บำรุงสุข, สุมาลี, "การรวบรวมรายได้แผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2416-2453)" (1982). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 61637.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/61637