Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ระบบเศรษฐกิจอยุธยา
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The Ayutthaya-Economic system
Year (A.D.)
1982
Document Type
Thesis
First Advisor
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา
Second Advisor
บุษกร กาญจนจารี
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
ประวัติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1982.593
Abstract
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นงานวิเคราะห์ “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ในแง่กำเนิดลักษณะและพัฒนาการ ตั้งแต่ พ.ศ. 1893-2369 คือเมื่อแรกเริ่มสถาปนากรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าอู่ทองถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อทำสนธิสัญญาเบอร์นี่ ในปี พ.ศ. 2369 ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ดำรงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง สิ่งมุ่งหมายที่นำมาอธิบายในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ คือ ต้นกำเนิดลักษณะและพัฒนาการของ “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" โดยเน้นพระราชภารกิจขององค์พระมหากษัตริย์ (รัฐ) ในด้านเศรษฐกิจ (เช่น การส่วน การภาษีอากรต่าง ๆ การค้าภายใน การค้าภายนอก) บทบาทและฐานะทางเศรษฐกิจของชนชั้นขุนนาง พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ ชนชั้นกึ่ง เช่น ชาวจีนชาวต่างชาติอื่น ๆ และชาวตะวันตก ในฐานะเป็น “กลไก" ของ “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ซึ่งเป็นการถ่ายเทผลิตผล ทรัพยากร แรงงาน (มวลรวมของความมั่งคั่ง และอำนาจทางการเมือง) สู่สถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนลักษณะของหมู่บ้านใน “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ว่ามีพื้นฐานทางการผลิต มีโครงสร้างทางวัฒนธรรมอย่างไร ลักษณะดังกล่าวเป็น “เหตุผล" ของการดำรงอยู่ของหมู่บ้านที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นที่รากฐานอันมั่นคงของ “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ผลของการศึกษาพบว่า “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" (synthesis) เกิดจากการเกษตรแบบลุ่มน้ำและเศรษฐกิจแบบส่งส่วยซึ่งเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมพื้นบ้าน (Indigenous culture) อุดมการณ์พราหมณ์และพุทธ (thesis) ปฏิสัมพันธ์กับการขยายตัวของการค้าต่างประเทศกับเอกชนชาวจีนในพุทธศตวรรษที่ 17-19 (anti-thesis) ในระบบนี้ พระมหากษัตริย์ (รัฐ) เรียกเก็บ เรียกเกณฑ์ ผลผลิตทรัพยากรแรงงาน และเงินตราจากราษฎร์ ในรูปของการส่วย การภาษีอากรต่าง ๆ การฤชาธรรมเนียม การควบคุมการค้าภายใน การผูกขาดการค้ากับต่างประเทศ โดยผ่านกลไกหรือกลุ่มร่วมผลประโยชน์คือสถาบันขุนนาง สถาบันพระบรมวงศานุวงศ์ สถาบันพระสงฆ์ชาวต่างประเทศ เช่น จีน ชาวตะวันตก ส่วนประชาชนซึ่งผูกพันธนากับ “ระบบไพร่" ไม่ได้รับโอกาสให้เข้าไปมีบทบาทในกิจกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะการค้าต่างประเทศ ทำให้ไม่ก่อเกิด “ชนชั้นกลาง" ที่มาจากชาวพื้นเมืองในระบบไพร่ การถ่ายเทผลิตผล ทรัพยากรแรงงานและเงินตราจากชนบทสู่ศูนย์กลางของราชอาณาจักรเป็นไปอย่างรุนแรง โดยที่รัฐไม่ได้นำผลประโยชน์จากการส่วย การภาษีอากรต่าง ๆ มาใช้จ่ายในการชลประทาน หรือกิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์ อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาต่อระบบของไพร่ถูกลดทอนความรุนแรงลง โดยคติพุทธศาสนาทั้งในแง่คำสอน ความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้านและวัดกับหมู่บ้าน ใน “ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" ชุมชนหมู่บ้านดำรงลักษณะพอเพียงเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ไม่เกิดการสะสมทุนในเชิงเปลี่ยนแปลงพัฒนาเครื่องมือทำการผลิต การผลิตเพื่อขาย (market economy) การขยายบทบาททางการค้า และยังมีสถาบันวัดรองรับมูลค่าส่วนเกิน (surplus) และเงินตราสะสมของชาวบ้านอีก[ส่วน]หนึ่งด้วย
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
รุ่งเรืองรัตนกุล, ประสิทธิ์, "ระบบเศรษฐกิจอยุธยา" (1982). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 61629.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/61629