Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดในประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Enforcement of anti-trust laws in Thailand

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

ไชยยศ เหมะชัยตะ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.329

Abstract

การแข่งขันเป็นหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ด้วยความคาดหวังว่าระบบการแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้าขึ้นลงตามกลไกของตลาดอย่างอิสระอันจะทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรม แต่นั่นเป็นได้เพียงความคาดหมายทางทฤษฎีเท่านั้น ในสภาพความเป็นจริงแห่งสังคมระบบทุนนิยม ระบบการแข่งขันหาได้ดำรงอยู่อย่างอิสระไม่ ทั้งนี้เพราะระบบการแย่งแข่งขันมักจะถูกแทรกแซงโดยผู้ประกอบการที่ไร้จรรยาด้วย การจำกัดทางการค้าหรือการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อครอบงำตลาดและสร้างอำนาจผูกขาดขึ้น การเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคและความปั่นป่วนของตลาดย่อมเกิดตามมาจนเป็นผลให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม ด้วยเหตุนี้ระบบการผูกขาดจึงเป็นสิ่งเลวร้ายที่สังคมไม่พึงปรารถนาในที่สุดกฎหมายป้องกันการผูกขาดจึงได้ก่อกำเนิดขึ้นและได้พัฒนามาจากผลแห่งความไม่ซื่อตรงในการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและจากความเชื่อมั่นในหลักการที่ว่า การค้าอิสระที่ใช้อำนาจอย่างเหมาะสมแล้วสามารถให้โอกาสแก่ปัจเจกชนและทำให้คนมีความริเริ่มอย่างไม่หยุดยั้ง การแข่งขันทำให้บรรลุถึงสมรรถภาพสูงสุดในการใช้ทรัพยากรตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าอย่างสูงสุดทางเทคโนโลยี แต่วัตถุประสงค์ของกฎหมายป้องกันการผูกขาดหาได้มีจุดหมายอยู่ที่ “ระบบการแข่งที่สมบูรณ์" หรือ “การแข่งขันที่บริสุทธิ์" เพราะการแข่งขันที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่อาจค้นพบได้ในวงการตลาดที่แท้จริง ดังนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงการแข่งขันที่เป็นไปได้สำหรับกฎหมายป้องกันการผูกขาด คือ “การแข่งขันที่ใช้การได้" ซึ่งหมายถึงการแข่งขันที่เป็นจริงนั่นเอง การศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายป้องกันการผูกขาด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงโครงสร้าง รูปแบบและกลไกแห่งอำนาจครอบงำของการผูกขาด จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก้าวล่วงเข้าไปศึกษาถึงวิชาเศรษฐศาสตร์ในบางแขนง และเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา การศึกษากฎหมายป้องกันการผูกขาดของประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประชาคมตลาดร่วมยุโรป ย่อมเป็นแนวทางที่ดีสำหรับนำมาประยุกต์ปรับปรุงระบบกฎหมายป้องกันการผูกขาดของไทย การศึกษากฎหมายของต่างประเทศนี้จะศึกษาถึงวิวัฒนาการ ทฤษฎี และนิติวิธีของกฎหมายดังกล่าวเพื่อนำเอาความคิดและหลักปรัชญาของกฎหมายมาประยุกต์ใช้กับกฎหมายไทย โดยคำนึงถึงนโยบายเศรษฐกิจ จริยศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณีทางการค้าของสังคมไทย กฎหมายป้องกันการผูกขาดของไทยได้ตราขึ้นบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ.2480 ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันการทุ่มตลาดในปี พ.ศ.2507 และพระราชบัญญัติสมาคมการค้าและพระราชบัญญัติหอการค้าในปี พ.ศ.2509 เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่กฎหมายแต่ละฉบับหาได้มีการบังคับใช้อย่างจริงจังไม่ แม้ว่ารัฐจะมีการปรับปรุงแก้ไขเสมอมาจนถึงปัจจุบันนี้รัฐก็ได้ตราพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ.2522 ขึ้น แต่เมื่อวิเคราะห์กฎหมายฉบับใหม่นี้แล้วจะพบว่ากฎหมายยังมีช่องว่างอยู่ ทั้งนี้เพราะความไม่แน่ชัดของบทบัญญัติและการใช้อำนาจดุลพินิจแก่ผู้ใช้กฎหมายมากเกินไปโดยไม่มีองค์กรหรือกลไกควบคุมการใช้อำนาจอย่างเหมาะสม พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงทำให้ผู้ประกอบการขาดความมั่นใจและไม่มีหลักประกันที่ดีพอในการตัดสินใจประกอบธุรกิจการค้า นอกจากนี้ความไม่จริงใจของผู้ใช้กฎหมายยังทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมเท่าที่ควร ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความบกพร่องในระบบบริหารงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ นอกจากการพัฒนาทางด้านนโยบายเศรษฐกิจแล้ว การปรับปรุงกฎหมายป้องกันการผูกขาดให้สมบูรณ์และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับความสนใจและปฏิบัติมาตรการต่างๆ ที่เหมาะสมควรถูกนำมาใช้ เช่น การออกระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการผูกขาด การเชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานของรัฐเพื่อวางกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติทางการค้า การให้คำปรึกษาหารือและออกหนังสือรับรองและการสอบสวนโดยเปิดเผยหากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายเมื่อเกิดการกระทำความผิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กฎหมายควรกำหนดโทษทางอาญาหรือค่าเสียหายทางแพ่งอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำ เพื่อผูกขาดหรือทำลายระบบการผูกขาดที่เกิดขึ้นแล้วและยับยั้งมิให้เกิดการกระทำผิดขึ้นอีกในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่ดีเลิศ แต่ถ้าผู้ใช้กฎหมายไม่มีความจริงใจและไม่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าอย่างแท้จริงแล้ว กฎหมายย่อมไม่ต่างอะไรไปจากกระดาษที่เปื้อนหมึกเท่านั้นเอง

Share

COinS