Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์ในเขตกรุงเทพมหานคร

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The rate of return on investment in private in private schools in Bangkok metropolitan area, academic year 1975-1977

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

นิรมล สวัสดิบุตร

Second Advisor

อรพินธุ์ ชาติอัปสร

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การบัญชี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.352

Abstract

การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การพัฒนาประเทศจะสำเร็จได้ด้วยประชากรของประเทศที่มีคุณภาพ รัฐจึงพยายามรับภาระในการจัดการศึกษาให้แก่ประชากรให้มากที่สุด แต่เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินมีจำกัด รัฐจึงไม่สามารถจัดการศึกษาได้ทั้งหมดต้องอาศัยเอกชนช่วยจัดบ้าง เอกชนจึงมีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาการศึกษาของประเทศ แต่การลงทุนของเอกชนในด้านนี้ยังไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร ฉะนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและรับผิดชอบน่าจะได้ศึกษาเพื่อหาทางสนับสนุนแก้ไขต่อไป วัตถุประสงค์ของการเขียนวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ก็เพื่อที่จะศึกษาถึงอัตราผลตอบแทนในการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์สายสามัญ ที่เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในเขตกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2518 – 2520 เพื่อจะได้ทราบโครงสร้างและลักษณะของรายรับ ค่าใช้จ่าย เช่น แหล่งที่มา ประเภทของรายรับและลักษณะของค่าใช้จ่าย อันจะเป็นแนวทางแก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนและหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการศึกษาเอกชน ในการปรับปรุง แก้ไข ควบคุมและส่งเสริมโรงเรียนราษฎร์ วิธีดำเนินการวิจัย กระทำโดยใช้โรงเรียนราษฎร์สายสามัญ ที่เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เฉพาะที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 74 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ร้อยละ 50 ของกลุ่มประชากรได้โรงเรียนที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่าง 37 โรงเรียน และในการวิจัยนี้ได้ส่งแบบสอบถามไปตามโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง เมื่อได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาจึงจำแนกโรงเรียนเป็น 3 กลุ่ม ตามเกณฑ์ระดับมาตรฐานโรงเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนกำหนดขึ้นจากการวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานโรงเรียนเอกชน เมื่อปี พ.ศ. 2517 แบ่งเป็นกลุ่มระดับมาตรฐานดี ปานกลาง และพอใช้ ในการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์นั้น เนื่องจากโรงเรียนใช้วิธีการบันทึกบัญชีแบบเกณฑ์เงินสดจึงไม่ได้คำนึงถึงค่าเสื่อมราคา แต่ตามปกติแล้วการคำนวณหาผลตอบจากการลงทุนจะต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมราคาด้วย จึงได้ทำการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์แยกเป็น 2 กรณี พอสรุปได้ดังนี้ 1. อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์ในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีไม่รวมค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่าย (R.O.I….) ในปีการศึกษา 2518 2519 และ 2520 มีอัตราผลตอบแทนร้อยละ 4.90 3.43 และ 3.75 ตามลำดับ เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายกลุ่ม ปรากฏว่าทั้ง 3 ปีการศึกษามีลักษณะเหมือนกัน คือโรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานพอใช้ มีอัตราผลแทนสูงเป็นลำดับ 1 โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานปานกลาง มีอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 2 และโรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานดี มีอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 3 2. อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของโรงเรียนราษฎร์ในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีรวมค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่าย (R.O.I….) ในปีการศึกษา 2518 2519 และ 2520 มีอัตราผลตอบแทนร้อยละ 3.02 1.48 และ 1.76 9k, ตามลำดับ เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายกลุ่ม ปรากฏว่าปีการศึกษา 2518 และ 2519 มีลักษณะเหมือนกันและเหมือนกับกรณีไม่รวมค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่าย (R.O.I….) กล่าวคือ โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานพอใช้มีค่าอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 1 โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานปานกลางมีค่าอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 2 โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานดี มีค่าอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 3 สำหรับปีการศึกษา 2520 โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานพอใช้ ยังมีอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 1 และโรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานดี ซึ่งเคยมีอัตราผลตอบแทนสูงเป็นลำดับ 3 กลับมาอยู่ในลำดับ 2 และลำดับ 3 ได้แก่ โรงเรียนกลุ่มระดับมาตรฐานปานกลาง รายรับส่วนใหญ่ของโรงเรียนราษฎร์เป็นประเภทค่าธรรมเนียม ซึ่งมีจำนวนถึงร้อยละ 81 ของรายรับทั้งสิ้น และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นประเภทเงินเดือนและค่าจ้าง ซึ่งมีจำนวนถึงร้อยละ 69 ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น สำหรับกรณีรวมค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่าย ผลของการวิจัยนี้สรุปได้ว่า ในระหว่างปีการศึกษา 2518 – 2520 สำหรับโรงเรียนราษฎร์ในเขตกรุงเทพมหานคร เฉพาะที่เปิดสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีอัตราผลตอบแทนในการลงทุนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในช่วงเวลานั้น คือมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างร้อยละ 1.48 – 4.90 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเป็นร้อยละ 8 ต่อปี ซึ่งน่าจะเป็นข้อพึงพิจารณาของทั้งฝ่ายผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งโรงเรียนราษฎร์ว่า ถ้าได้รับอัตราผลตอบแทนในการลงทุนต่ำดังกล่าวแล้วจะสามารถดำรงโรงเรียนที่ตั้งขึ้นได้ต่อไปหรือไม่ และฝ่ายรัฐซึ่งมีอำนาจในการอนุญาตให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ก็ควรกำหนดนโยบายระยะยาว ให้เป็นที่ทราบกันแน่นอนว่ารัฐจะจัดการศึกษาเองร้อยละเท่าใด และให้เอกชนจัดร้อยละเท่าใด เพื่อป้องกันมิให้มีปริมาณโรงเรียนราษฎร์มากเกินไปจนเป็นผลให้โรงเรียนราษฎร์ต้องเลิกล้ม เพราะไม่มีนักเรียนเข้าเพียงพอ และในขณะเดียวกันรัฐก็ควรพิจารณาหาทางช่วยเหลือส่งเสริมโรงเรียนราษฎร์ที่มีอยู่แล้ว และมีอัตราผลตอบแทนต่ำ ให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ด้วยการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม

Share

COinS