Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

บทบาทของการเสริมแรงในการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่อง ให้กับนักเรียนด้อยสัมฤทธิ์

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The roles of reinforcement in the development of continuing motivation of underachieving pupils

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา

Second Advisor

ชัยพร วิชชาวุธ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จิตวิทยาการศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.63

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายหลักที่จะศึกษาบทบาทของการเสริมแรง 2 แบบ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องในกิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนให้กับนักเรียนด้อยสัมฤทธิ์คือ แบบที่ 1 ให้การเสริมแรงและรายงานให้ผู้ปกครองทราบ ประกอบด้วย (ก) ป้อนผลกลับทางบวกพร้อมคำชม และใช้อุปกรณ์การเรียนที่มีราคาเพิ่มขึ้นตามลำดับเป็นตัวเสริมแรง (ข) ใช้แผนการเสริมแรงแบบอัตราส่วนแปรผันที่เพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการเสริมแรงขึ้นเป็นลำดับ (ค) ใช้เกณฑ์การเสริมแรงแบบกลุ่มร่วมมือ และ (ง) มีจดหมายรายงานให้ผู้ปกครองทราบเพื่อให้กำลังใจอีกทางหนึ่ง แบบที่ 2 ให้การเสริมแรงเพียงอย่างเดียวประกอบด้วย (ก) ถึง (ค) ในแบบที่ 1 ตัวแปรตามคือแรงจูงใจต่อเนื่องในกิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนซึ่งได้จากการวัด 3 ตัวแปรเกณฑ์ ต่อไปนี้คือ (1) การเลือกทำกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่าง (2) ความต้องการร่วมกิจกรรมในอนาคต และ (3) การใส่ใจกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่าง ผู้รับการทดลองเป็นนักเรียนด้อยสัมฤทธิ์ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนเทศบาล จังหวัดอุดรธานี จำนวน 54 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 18 คนสุ่มเข้ากลุ่มตามเพศและระดับความสามารถ จัดเข้ารับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องในกิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 1 แบบที่ 2 และไม่ได้รับการเสริมแรงแต่อย่างใด (กลุ่มควบคุม) โดยการสุ่มกลุ่มเข้าเงื่อนไข สมมติฐานการวิจัยมีว่า นักเรียนด้อยสัมฤทธิ์กลุ่มที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 1 มีแรงจูงใจต่อเนื่องซึ่งวัดโดยการเลือกทำกิจกรรเมื่อมีเวลาว่าง ความต้องการร่วมกิจกรรมในอนาคต และการใส่ใจกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่าง สูงกว่านักเรียนด้อยสัมฤทธิ์กลุ่มที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการส่งเสริมแรงแบบที่ 2 และกลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมแรงแต่อย่างใด ตามลำดับ ผลการวิจัยครั้งนี้ปรากฏว่า (1) นักเรียนด้อยสัมฤทธิ์กลุ่มที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 2 มีการเลือกทำกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมแรงแต่อย่างใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ผล ส่วนกลุ่มที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 1 กับกลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมแรงแต่อย่างใด มีความต้องการทำกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างไม่แตกต่างกัน (2) นักเรียนด้อยสัมฤทธิ์ที่ได้รับการพัฒนาแรงจูงใจต่อเนื่องภายใต้เงื่อนไขการเสริมแรงแบบที่ 1 แบบที่ 2 และกลุ่มควบคุมมีความต้องการร่วมกิจกรรมในอนาคต และการใส่ใจกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างไม่ต่างกัน (3) การเลือกทำกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างและการใส่ใจกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ความต้องการร่วมกิจกรรมในอนาคตไม่มีความสัมพันธ์กับการเลือกทำกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่างหรือการใส่ใจกิจกรรมเมื่อมีเวลาว่าง

Share

COinS