Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การศึกษาพัฒนาการทางการคิดของเด็กไทย เกี่ยวกับการจัดกลุ่มความเท่าเทียมกันของสิ่งเร้า
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
A study on the development of cognitive equivalence of Thai children
Year (A.D.)
1982
Document Type
Thesis
First Advisor
ชุมพร ยงกิตติกุล
Second Advisor
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์
Third Advisor
พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาเอก
Degree Discipline
จิตวิทยาการศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1982.38
Abstract
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาพัฒนาการทางการคิดของเด็กไทยเกี่ยวกับการจัดกลุ่มความเท่าเทียมกันของสิ่งเร้า โดยพิจารณาจากชนิดของเกณฑ์และโครงสร้างของประโยคที่เด็กใช้เพื่ออธิบายหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้า กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชายหญิง จำนวนเท่าๆ กัน ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 5 อายุระหว่าง 6 ปี ถึง 16 ปี ระดับอายุละ 12 คน รวมกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 264 คน แบ่งเป็นนักเรียนจากโรงเรียนในเมือง 2 โรง เป็นนักเรียนหญิงจากโรงเรียนมาแตร์ เดอี จำนวน 66 คน นักเรียนชายจากกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จำนวน 66 คน และนักเรียนจากโรงเรียนในชนบท 2 โรง เป็นนักเรียนชายและหญิง จากโรงเรียนบ้านปะโค จำนวน 84 นักเรียนชายและหญิงจากโรงเรียนกุมภวาปี จำนวน 48 คน การสุ่มตัวอย่างใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งเป็นหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นกลุ่มสิ่งเร้าที่มีลักษณะแตกต่างกัน 3 ชนิด คือ สิ่งเร้าที่เป็นภาษา สิ่งเร้าที่เป็นรูปภาพ และสิ่งเร้าที่เป็นรูปทรงเรขาคณิต ทำการทดสอบกลุ่มตัวอย่างทีละคน โดยให้แต่ละคนจัดกลุ่มสิ่งเร้าตามลักษณะที่เหมือนกันลักษณะใดลักษณะหนึ่ง พร้อมทั้งบอกหลักเกณฑ์ที่ใช้จัด นำคำตอบของกลุ่มตัวอย่างมาแยกประเภทโดยพิจารณาตาม (1) ชนิดของเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้า ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ ความเท่าเทียมกันตามรับรู้ ความเท่าเทียมกันตามหน้าที่ และความเท่าเทียมกันตามนามบัญญัติ (2) โครงสร้างของประโยคที่ใช้เพื่ออธิบายหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้า ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ โครงสร้างประโยคชนิดเป็นชุด โครงสร้างประโยคชนิดเชิงซ้อน และโครงสร้างประโยคชนิดอภิสามัญ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการคำนวณหา ความถี่และค่าร้อยละ แล้วทำการทดสอบความแตกต่างของความถี่โดยใช้สูตรของ ไคสแควร์ และสูตรของ พิสเชอร์ การวิเคราะห์ชนิดของเกณฑ์ที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้าทั้ง 3 ชนิด ใช้การคำนวณหาขอบเขตของสัดส่วนประมาณของประชากร นอกจากนี้ผู้วิจัยยังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของเกณฑ์กับโครงสร้างของประโยคที่ใช้ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้า วิเคราะห์โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์การณ์จร ผลการวิจัย พบว่า 1. เด็กที่มีระดับอายุแตกต่างกัน ใช้เกณฑ์และโครงสร้างประโยคเพื่ออธิบายหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้าทุกประเภท แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .01 2. เด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองและชนบทใช้เกณฑ์ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้าทุกประเภทไม่แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 ทุกระดับอายุ ยกเว้นระดับอายุ 9 ปี และ 10 ปี ที่เด็กในชนบทใช้เกณฑ์การรับรู้จัดกลุ่มสิ่งเร้ารูปภาพและสิ่งเร้าภาษามากกว่าเด็กในเมือง 3. . เด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองและชนบท ใช้โครงสร้างประโยคเพื่ออธิบายหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มสิ่งเร้าทุกประเภท ไม่แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 ทุกระดับอายุ ยกเว้นระดับอายุ 10 ปี ที่เด็กในชนบทใช้โครงสร้างประโยคชนิดเชิงซ้อนเพื่ออธิบายหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มสิ่งเร้าภาษาและสิ่งเร้ารูปภาพมากกว่าเด็กในเมือง 4. เด็กชายและเด็กหญิง ใช้เกณฑ์และโครงสร้างประโยคเพื่ออธิบายหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มสิ่งเร้าทุกประเภท ไม่แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 5. เด็กใช้เกณฑ์ต่างชนิดกัน ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้าที่มีลักษณะแตกต่างกัน 6. ชนิดของเกณฑ์และโครงสร้างของประโยคที่เด็กใช้ในการจัดกลุ่มสิ่งเร้ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .01
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ฤกษ์สำราญ, ลลิตา, "การศึกษาพัฒนาการทางการคิดของเด็กไทย เกี่ยวกับการจัดกลุ่มความเท่าเทียมกันของสิ่งเร้า" (1982). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 61464.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/61464