Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ในเซลล์ตับของผู้ป่วยมะเร็งตับ

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Hepatitis B virus in liver cells from patients with liver cancer

Year (A.D.)

1980

Document Type

Thesis

First Advisor

สันติ ถุงสุวรรณ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จุลชีววิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1980.21

Abstract

ไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคตัวอักเสบชนิดต่างๆ โรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ และโรคอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตับ (extrahepatic diseases) นอกจากนี้ไวรัสตับอักเสบชนิดบียังตรวจพบได้ในคนปกติจำนวนมาก โดยไม่ทำให้เกิดโรค Hepatitis B surface antigen (HBsAg) ตรวจพบได้ในอัตราสูงในน้ำเหลือง และเซลล์ตับของผู้ป่วยมะเร็งตับ แต่ไม่สามารถตรวจพบได้ในเซลล์ตับจาก biopsied ของผู้ป่วยมะเร็งตับทุกราย และ HBsAg นี้ตรวจสอบได้ในบางกลุ่มของเซลล์ และบางส่วนของตับที่ทำ autopsied เท่านั้น การศึกษานี้มุ่งที่จะค้นคว้าว่าเซลล์ชนิดใดในตับที่เป็นมะเร็ง และในอวัยวะอื่นๆ (ม้าม ตับอ่ดน ไต ต่อมน้ำเหลือง) จะมี antigens ของไวรัสตับอักเสบชนิดบี และตรวจหาHBsAg, anti-HBs, Hepatitis B e antigen (HBeAg) และanti-HBeในน้ำเหลืองของผู้ป่วยเหล่านี้ด้วย เก็บชิ้นเนื้อและเลือดจากหัวใจของผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ 5 ราย (ผู้ป่วยมะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ 3 ราย มะเร็งท่อน้ำดีตับ 1 ราย มะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ1ราย) และในผู้ป่วยโรคอื่นๆ 13 ราย (ผู้ป่วยโรคตับแข็ง 2 ราย พยาธิใบไม้ในตับ 1 ราย โรคหัวใจ 2 รายโรคกระเพาะ 1 ราย ความดันโลหิตสูง 1 ราย และผู้ป่วยทางด้านนิติเวช 6 ราย) มาศึกษาปรากฏว่า anti-HBs ตรวจสอบ 1 ราย ในน้ำเหลืองของผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น และ HBsAgไม่สามารถตรวจพบได้โดยวิธี counter immuno-electrophoresis แต่ตรวจสอบ HBsAg 2 ราย (ผู้ป่วยมะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ 1 ราย และพยาธิใบไม้ในตับ 1 ราย) โดยวิธี reverse passive haemagglutination HBsAg และ anti-HBe) ไม่สามารถตรวจพบในน้ำเหลืองของผู้ป่วยที่มี HBsAg ในน้ำเหลืองโดยวิธี immunodiffusion ทำการตรวจหา HBsAg, HBeAg และ Hepatitis B core antigen (HBcAg) ในเซลล์ตับ 5 ตำแหน่ง และเซลล์จากอวัยวะอื่นๆ พร้อมทั้งศึกษาพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อส่วนเดียวกัน โดยตัดชิ้นเนื้อส่วนที่ต้องการศึกษาเป็นชิ้นเล็ก ป้ายบนสไลด์ ย้อมด้วยวิธี indirect immunofluorescence โดยใช้antisera 2 กลุ่ม คือ sera จากคนที่มี antibodies ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (anti-HBs, anti-HBc, anti-HBc + anti-HBe) และ antisera ที่ได้จากการ immunized กระต่าย (anti-HBC, anti-HBL) ปรากฏว่าHBsAg และ HBcAg สามารถตรวจพบเฉพาะในเซลล์ตับโดยการใช้ human antisera เท่านั้น โดยการตรวจ HBsAgและHBcAg ในผู้ป่วยมะเร็งตับทั้ง 5 ราย และในกลุ่ม control 5 ราย (ผู้ป่วยโรคตับแข็ง 2 รายพยาธิใบไม้ในตับ 1 รายโรคกระเพาะ1 รายและผู้ป่วยทางด้านนิติเวช 1 ราย) HBsAgและHBcAg ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในกลุ่มเซลล์ตับปกติในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับและมีปริมาณน้อยในกลุ่มเซลล์ตับที่มีกลุ่มเซลล์มะเร็งหรือเซลล์ที่มีลักษณะผิดปกติแบบ dysplasia จำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าจะตรวจพบเซลล์ตับปกติจำนวนมากที่มี HBsAgในผู้ป่วยบางรายในกลุ่ม control แต่ตรวจพบเซลล์ที่มี HBcAg น้อยมาก Fluorescent positive cells ที่ตรวจพบในตับมีลักษณะต่างกัน คือ ส่วนใหญ่มี fluorescent positive reactionใน cytoplasm บ้างก็มี fluorescent positive reaction ทั้งเซลล์ ซึ่งอาจแสดงว่าในบางกลุ่มของเซลล์ตับมีการเจริญของไวรัสตับอักเสบชนิดบีระดับชั้นต่างกัน นอกจากนี้ยังตรวจสอบ HBsAgในเม็ดเลือดขาวด้วย แสดงว่าเม็ดเลือดขาวอาจมีการติดเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งอาจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไวรัสตับอักเสบชนิดบีคงอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อได้เป็นระยะเวลานาน จากการศึกษานี้พบว่า HBsAg และ HBcAg ตรวจพบได้ในเซลล์ตับของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับและโรคตับอื่นๆ ทุกรายที่ทำการศึกษา รวมทั้งผู้ป่วย 2 ใน 10 รายของกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจพบ antigens ของไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเซลล์ตับปกติ ดังนั้นการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า HBsAgและHBcAgไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเซลล์มะเร็งตับโดยตรง การมี antigens เหล่านี้อาจเป็นผลเนื่องจากการถูกกระตุ้นของไวรัสที่แอบแฝงอยู่ในเซลล์ตับ (activation of latent virus infection) ภายหลังจากมีพยาธิสภาพในตับเกิดขึ้น ไวรัสตับอักเสบชนิดบีอาจไม่ได้เป็นสาเหตุในการทำให้เกิดมะเร็งตับ แต่อาจเป็นเพียงตัวร่วมกับสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง (co-carcinogen) ในการทำให้เกิดมะเร็งตับชนิดปฐมภูมิขึ้น

Share

COinS