Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การฝึกเพื่อพัฒนาทักษะการบวกเลขในใจของเด็ก

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A practice for developing skills in mental arithmetic addition

Year (A.D.)

1980

Document Type

Thesis

First Advisor

นิรมล ชยุตสาหกิจ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

DOI

10.58837/CHULA.THE.1980.35

Abstract

การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกที่มีต่อการพัฒนาทักษะการบวกเลขในใจของเด็ก และศึกษาความสามารถของเด็กในการคิดเลขทั้งแบบตรงและแบบกลับในข้อความปัญหาการบวกอย่างง่าย และเพื่อศึกษาว่าเด็กจะได้รับประโยชน์จากการฝึกทักษะดังกล่าวหรือไม่ การศึกษานี้มีสมมุติฐานการวิจัย คือ 1) ประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกจะช่วยให้เด็กพัฒนาการคิดเลขจากวิธีการนับนิ้วไปสู่การระลึกตัวเลขได้ 2) ประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกจะช่วยให้เด็กพัฒนาคะแนนการตอบถูกมากขึ้นจากเดิม 3) เด็กจะมีความสามารถในการบวกแต่ละแบบ คือ แบบการหาผลบวก การหาตัวตั้งและการหาตัวบวกได้แตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดปทุมคงคา จำนวน 40 คน อายุเฉลี่ย 7 ปี 7 เดือน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองได้รับการฝึกโดยแบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการฝึกโปรแกรมการฝึกใช้เวลา 5 วันๆ ละ 30 ถึง 40 นาที เพื่อให้โอกาสแก่เด็กในการฝึกตัวเลขจากจำนวนสิ่งของ ขณะฝึกก็ให้พูดถึงตัวเลขที่จะใช้บวกในจำนวนนั้นๆ และฝึกตัวเลขเหล่านั้นด้วยวิธีการอย่างมีระบบ โดยเน้นความเข้าใจในการแก้ปัญหาตัวเลขในวิชาคณิตศาสตร์ และให้จำกฎการบวกจากการเชื่อมโยงตัวเลข เครื่องมือที่ใช้วัด คือ โจทย์บวกเลข 3 แบบ โดยใช้ตัวเลขหลักเดียว 0 ถึง 9 ดังนี้ 1) การหาผลบวก (m+n = …….) 2) การหาตัวตั้ง (……. + n = p) 3) การหาตัวบวก (m +…… = p) แบบละ 55 ข้อ ผู้ทดลองได้อ่านโจทย์เหล่านี้ลงในเทปบันทึกเสียง ใช้เวลาข้อละ 15 วินาที นับตั้งแต่การบอกโจทย์และรวมเวลาที่เด็กคิดแล้วเติมคำตอบ แบบทดสอบนี้ได้นำมาทดสอบซ้ำ 2 ครั้ง โดยใช้ทดสอบครั้งแรกก่อนการฝึก และทดสอบครั้งที่สองหลังการฝึก 6 ถึง 8 วัน ตัวแปรที่ศึกษา คือ คะแนนการตอบถูกและจำนวนครั้งของการนับนิ้ว ขณะที่เด็กคิดเลขในแต่ละข้อ เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้ x^2- test t-test และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิเคราะห์พบว่า 1) คะแนนความถี่ของพฤติกรรมการนับนิ้วในกลุ่มทดลองลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุม และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) คะแนนของการตอบถูกในกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) คะแนนการคิดเลข 3 แบบในการทดสอบครั้งแรก พบว่า เด็กมีความสามารถในการคิดเลข 3 แบบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคิดเลขในแบบหาผลบวกได้ดีกว่าแบบหาตัวตั้งและตัวบวก ส่วนความสามารถในการคิดเลขแบบหาตัวตั้ง และแบบหาตัวบวกไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ นอกจากนี้เด็กยังได้รับประโยชน์จากการฝึกทักษะ โดยที่ผลจากการฝึกช่วยให้เด็กสามารถคิดเลขในข้อความปัญหาการบวกทั้ง 3 แบบ เพิ่มขึ้นจากเดิมและแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

Share

COinS