Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การลบล้างคำพิพากษาลงโทษจำคุก

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The effacement of the judicial sentences

Year (A.D.)

1981

Document Type

Thesis

First Advisor

มุรธา วัฒนะชีวะกุล

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1981.298

Abstract

โทษจำคุกนับว่าเป็นโทษที่สามารถครอบคลุมเอาวัตถุประสงค์ของการลงโทษ คือเพื่อการป้องกัน ทดแทน ข่มขู่ และการปรับปรุงแก้ไขผู้กระทำผิดไว้ได้อย่างกว้างขวางมากกว่าโทษประเภทอื่นๆ และโทษจำคุกเป็นโทษที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายมากกว่าโทษฐานอื่นด้วย เป็นที่ยอมรับว่าโทษจำคุกเป็นโทษที่สอดคล้องกับแนวความคิดสมัยปัจจุบัน กล่าวคือแนวความคิดเกี่ยวกับการลงโทษในปัจจุบันมุ่งหนักไปในเรื่องการปรับปรุงแก้ไขผู้กระทำผิด เพราะในระยะต้องโทษ รัฐสามารถนำมาตรการในการปรับปรุงแก้ไขต่างๆ มาใช้กับผู้ต้องโทษได้โดยสะดวก และมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกัน โทษจำคุกก็ยังเป็นโทษที่สังคมถือว่าเป็นโทษที่รุนแรง เป็นโทษที่ให้ผลร้ายแก่ผู้ต้องโทษสูง และเป็นโทษที่สังคมรังเกียจมากกว่าโทษฐานอื่นๆ ดังนั้น ในการพิจารณาลงโทษจำคุก และในการปฏิบัติต่อผู้ต้องโทษจำคุกจึงต้องกระทำไปด้วยความระมัดระวัง โดยรัฐได้พยายามหามาตรการอื่นมาใช้แทนโทษจำคุก เช่น การรอการลงโทษ การพักการลงโทษ การลดวันต้องโทษ การอภัยโทษ และการคุมประพฤติ เป็นต้น ในการลงโทษจำคุกรัฐก็ได้พยายามหามาตรการอื่นมาใช้ควบคู่กับการจำคุก เช่น การฝึกฝนอาชีพ การอบรมความประพฤติ เป็นต้น การลงโทษจำคุกนั้น แม้ว่ารัฐจะได้ใช้ความระมัดระวังเพียงใด แต่โทษจำคุกก็ยังมีข้อเสียอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะข้อเสียที่ติดตามมาภายหลังการพ้นโทษ อันเนื่องจากการมีมลทินติดตัวผู้พ้นโทษตลอดไป หากคำพิพากษาลงโทษจำคุกนั้นไม่ได้ถูกลบล้างไปอย่างเด็ดขาด จากการวิจัยในเชิงเอกสารโดยอาศัยหลักอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา ตลอดจนหลักกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของประชาชน พบว่าแนวทางในการลบล้างคำพิพากษามีมานาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดในการพระราชทานอภัยโทษ ของกษัตริย์ในระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และในสมัยการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้วิวัฒนาการมาเป็นวิธีการอภัยโทษ นิรโทษกรรม ล้างมลทิน และการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้อยู่ในอำนาจของฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ปัจจุบันการลบล้างคำพิพากษาในประเทศไทยอาจกำหนดได้ด้วยวิธีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายลบล้างมลทิน และการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของศาล ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า การลบล้างคำพิพากษาในประเทศไทยดังกล่าว โดยเฉพาะเพื่อการลบล้างมลทินแก่ผู้พ้นโทษยังไม่สมบูรณ์พอที่จะเอื้ออำนวยกับหลักความยุติธรรมในการลงโทษจำคุกในแง่ของความสิ้นสุดของโทษ กล่าวคือ ในประเทศไทยไม่ได้กำหนดเป็นสิทธิตามกฎหมายแก่ผู้พ้นโทษที่จะขอหรือได้รับการล้างมลทินไว้ แต่จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้มีอำนาจว่าจะพิจารณาเห็นสมควรออกกฎหมายล้างมลทินแก่ผู้ใดและเมื่อใด ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้มีการกำหนดวิธีการล้างมลทินขึ้นเป็นสิทธิของผู้พ้นโทษตามกฎหมาย โดยเฉพาะวิธีการล้างมลทินโดยทางศาล เพื่อให้ศาลได้ไต่สวนความประพฤติของผู้พ้นโทษ และสั่งให้ลบล้างคำพิพากษาไม่ให้เป็นมลทินติดตัวผู้นั้นอีกต่อไป เพื่อเป็นการเสริมให้กระบวนการลงโทษจำคุกในการปรับปรุงแก้ไขผู้กระทำผิดได้ผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น วิทยานิพนธ์นี้มุ่งวิเคราะห์ถึงการลบล้างคำพิพากษาว่า เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมหลักมนุษยธรรมในการลงโทษ และเป็นการส่งเสริมแนวความคิดในการปรับปรุงแก้ไขอีกทางหนึ่งด้วย ตลอดจนวิเคราะห์ถึงการลบล้างคำพิพากษาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ การอภัยโทษ การนิรโทษกรรม และการล้างมลทิน ทั้งนี้เพื่อหาแนวทางและวิธีที่เหมาะสมที่ควรจะนำมาใช้สำหรับประเทศไทย

Share

COinS