Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ต้นทุนการผลิตปลาดุกเพื่อการค้า

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The cost of production of freshwater catfish for commercial purposes

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

ศรันย์ วรรธนัจฉริยา

Second Advisor

ดวงมณี โกมารทัต

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การบัญชี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.357

Abstract

ประเทศไทยได้มีการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดมาเป็นเวลาช้านาน ปลาที่เลี้ยงกันโดยทั่วๆ ไป ได้แก่ ปลาดุก ปลาสวาย ปลาช่อน และปลานิล ในบรรดาปลาน้ำจืดเหล่านี้ปลาดุกเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันมาก โดยเฉพาะปลาดุกด้าน เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย และระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับปลาชนิดอื่น นอกจากนี้ปลาดุกด้านยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะมีรสดีและราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับอาหารโปรตีนจากสัตว์ชนิดอื่น วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตและเลี้ยงปลาดุกเพื่อการค้า โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่การเพาะพันธุ์ลูกปลา การอนุบาลลูกปลา และการเลี้ยงเป็นปลาโตในบ่อดิน โดยเลือกทำการศึกษาในท้องที่ตำบลบางเกลือ อำเภอบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ปีการผลิต พ.ศ. 2524 และยังได้ศึกษาถึงต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ ณ ภาควิชาเพาะเลี้ยง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีการผลิต พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นการเลี้ยงที่นำหลักวิชาการเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงภัยจากโรคปลา การศึกษาได้รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม เอกสาร และหนังสือ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงเงินลงทุนเริ่มแรก เงินลงทุนในปัจจุบัน ต้นทุนและผลตอบแทนที่ได้รับจากการเพาะเลี้ยง รวมทั้งการเปรียบเทียบต้นทุน และผลตอบแทนระหว่างการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน กับบ่อซีเมนต์ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ผลของการศึกษาการเพาะเลี้ยงปลาดุก พบว่า เงินลงทุนเริ่มแรกของการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินที่ตำบลบางเกลือ อำเภอบางปะกง ซึ่งทำการเพาะเลี้ยงขนาดเนื้อที่ 90 ไร่ จะใช้เงินลงทุนเท่ากับ 753,808 บาท ถ้าจะลงทุนในปัจจุบันจะต้องใช้เงินทุนเท่ากับ 1,156,810 บาท และการทำฟาร์มเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ของภาควิชาเพาะเลี้ยง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยทำการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ขนาด 19.6 ตารางเมตร จำนวน 10 บ่อ ใช้เงินลงทุนริ่มแรกเท่ากับ 164,400 บาท ซึ่งถ้าลงทุนในปัจจุบันจะใช้เงินลงทุนเท่ากับ 165,400 บาท การเพาะเลี้ยงปลาดุกจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมทางภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตที่จะได้รับ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว การเพาะเลี้ยงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ลูกปลาจะมีเปอร์เซนต์การตายสูง และปลาดุกที่เลี้ยงจะโตช้า ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวผู้ผลิตจะงดการเพาะเลี้ยงไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเพาะพันธุ์ลูกปลาต่อรุ่นจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน หนึ่งปีสามารถเพาะพันธุ์ได้ 10-12 รุ่น ลูกปลาที่เพาะพันธุ์ได้เรียกว่า ปลาลูกไร ผลผลิตต่อรุ่นโดยเฉลี่ยเท่ากับ 5,083,335 ตัว ราคาขายโดยเฉลี่ยต่อร้อยตัวเท่ากับ 50 บาท ส่วนต้นทุนการเพาะพันธุ์ต่อร้อยตัวเท่ากับ 0.32 บาท ปลาลูกไรสามารถนำไปอนุบาลต่อให้ได้ขนาดต่างๆ กันได้ 3 ขนาด ได้แก่ ลูกปลาคว่ำบ่อ ลูกปลาขนาด 3 เซนติเมตร และลูกปลาขนาด 5 เซนติเมตร ซึ่งจะใช้เวลาในการอนุบาล 14, 24 และ 30 วัน ตามลำดับ อัตราการรอดตายในการอนุบาลลูกปลาแต่ละชนิดคิดเป็นร้อยละ 31, 30 และ 25 ตามลำดับ ซึ่งสามารถนำมาคำนวณหาต้นทุนต่อร้อยตัวได้เท่ากับ 3.01, 3.80 และ 4.97 บาท ตามลำดับ ส่วนรายได้จากจำหน่ายบ่อร้อยตัวเท่ากับ 5.20, 10.40 และ 15.60 บาท ตามลำดับ สำหรับการเลี้ยงเป็นปลาโตผู้ผลิตนิยมเริ่มเลี้ยงจากลูกปลาขนาด 5 เซนติเมตร ในกรณีที่เพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปลาเอง ก็จะเป็นการลดต้นทุนในการเลี้ยงเป็นปลาโต การเลี้ยงในบ่อดินจะเสียต้นทุนต่อกิโลกรัมเท่ากับ 16.54 บาท จากการใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 5 เดือน ขายได้ราคาเฉลี่ย 25.33 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ผู้เลี้ยงได้ซื้อลูกปลาจากแหล่งอื่นมาเลี้ยงในระยะเวลา 3 เดือน จะเสียต้นทุนต่อกิโลกรัมเท่ากับ 17.68 บาท และขายได้ราคา 24 บาท เนื่องจากปลากมีขนาดเล็กกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดด้วย จะเห็นได้ว่าต้นทุนการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์จะสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อดินเท่ากับ 1.14 บาทต่อกิโลกรัม สาเหตุก็เนื่องจากการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ใช้อาหารสำเร็จรูป และซื้อลูกปลาจากแหล่งอื่นมิได้ทำการเพาะพันธุ์เอง ส่วนกำไรสุทธิต่อกิโลกรัมถึงแม้จะน้อยกว่าการเลี้ยงในบ่อดิน แต่ก็ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงสั้นกว่า จึงทำให้เลี้ยงได้หลายรุ่นใน 1 ปี เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนจากเงินลงทุนในระยะเวลา 1 ปี ระหว่างการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ จะแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนจากเงินลงทุนเท่ากับ 427.46% และผลตอบแทนจากเงินลงทุนจากการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์เท่ากับ 47.43% แต่อย่างไรก็ตามการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์จะสะดวกในการควบคุมโรคปลาได้ง่ายขึ้น ปัญหาที่พบในการเพาะเลี้ยงปลาดุก คือ การขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โรคระบาด และความไม่แน่นอนของราคาปลาดุกในท้องตลาด รวมถึงค่าอาหารที่มีราคาแพงมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อเสนอแนะในการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาดุกด้าน มีดังนี้ 1. ควรพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งให้ใกล้แหล่งน้ำ และมีบ่อพักน้ำเก็บไว้ใช้เมื่อต้องการ 2. บ่ออนุบาลลูกปลาที่ขุดควรเป็นแบบบ่อไข 3. ควรลงทุนหรือขยายกิจการ โดยเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปลาในบ่อดินแล้วนำ 4. ลูกปลามาเลี้ยงต่อในบ่อซีเมนต์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้กำไรสูงขึ้นเพราะการเสี่ยงภัยจากโรคระบาด 5. รัฐควรให้ความสนับสนุนผู้เพาะเลี้ยงและผู้เลี้ยงปลาดุกทางด้านวิชาการ เช่น เทคนิคการเลี้ยง การผสมอาหาร และป้องกันโรคปลา 6. รัฐควรให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อการผลิตในระยะสั้นแก่ผู้ผลิต 7. ควรมีการรวมกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง เพื่อมีอำนาจในการต่อรองและช่วยเหลือระหว่างสมาชิกได้

Share

COinS