Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิเคราะห์ทางการเงินของอุตสาหกรรมกระสอบ ในประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A financial analysis of jute mill industry in Thailand

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

ธดาวดี มีนะกนิษฐ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.335

Abstract

อุตสาหกรรมกระสอบในประเทศไทย เป็นอุตสาหกรรมด้านเกษตรกรรมเนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตได้แก่ ปอ และผลิตผลที่ได้คือ กระสอบป่านที่นำมาบรรจุผลผลิตทางเกษตร ซึ่งก่อน พ.ศ.2495 ประเทศไทยต้องสั่งซื้อกระสอบจากประเทศอินเดียและปากีสถานมาเพื่อใช้บรรจุสินค้าทางเกษตรในประเทศไทย ต่อมาหลังจาก พ.ศ.2495 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้ตั้งโรงงานผลิตกระสอบขึ้น จากนั้นก็มีโรงงานตั้งเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยมา กำลังการผลิตกระสอบขยายตัวสูงมากจนกระทั่งผลผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ จนกลายเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกก่อให้เกิดปัญหาการตัดราคากันเอง เพราะราคาที่ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศต่ำกว่าราคาจำหน่ายในประเทศ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งบางโรงงานต้องเลิกล้มกิจการไปในที่สุด วิทยานิพนธ์นี้จึงมุ่งศึกษาถึงฐานะทางการเงินของผู้ผลิตทั้งอุตสาหกรรม โดยทำการวิเคราะห์ตัวเลขจากงบการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อให้ทราบถึงต้นทุนการผลิต สมรรถภาพในการหากำไร สภาพเสี่ยงและแนวโน้มของสภาวะอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต อีกทั้งศึกษาถึงภาวะโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมกระสอบเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ และนักลงทุนในการที่จะตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ภาวะการผลิตกระสอบในประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงงานทั้งหมด 14 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง และเป็นของเอกชน 11 แห่ง โรงงานทอกระสอบส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดกลาง ตั้งอยู่ทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระสอบคือ ปอแก้วและปอกระเจา ซึ่งต้องใช้ปีละประมาณ 200,000 เมตริกตัน ราคาปอโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 4 - 5.50 บาท ต่อกิโลกรัม ราคาปอขึ้นอยู่กับปริมาณการปลูกปอของชาวไร่ในแต่ละปี ซึ่งไม่แน่นอน แรงงานที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นหญิงประมาณร้อยละ 90 ของแรงงานทั้งหมด ซึ่งต้องใช้แรงงานประมาณ 30,544 คนต่อปี กำลังการผลิตขณะนี้โรงงานทั้ง 14 แห่งสามารถผลิตกระสอบได้เกินความต้องการใช้ภายในประเทศ จำเป็นต้องส่งออกไปแข่งขันกับต่างประเทศ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากเนื่องจากการปรับอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำ และการขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าของรัฐบาล อีกทั้งค่าวัตถุดิบก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ต้นทุนการผลิตขณะนี้ประมาณ 14.00 – 15.00 บาทต่อใบ ในขณะที่ราคาจำหน่ายในประเทศประมาณ 13.50 – 14.50 บาทต่อใบ และราคาขายส่งกระสอบไปยังต่างประเทศประมาณ 11.00 – 12.50 บาทต่อใบเท่านั้น เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ทำให้พ่อค้าผู้ผลิตกระสอบต้องการขายกระสอบในประเทศให้ได้มากที่สุด จึงเกิดปัญหาขายตัดราคากันเองทำให้ราคาขายลดลงมาเรื่อยๆ ภาวะการค้ากระสอบต้องประสบปัญหาด้านนี้มาโดยตลอด จนเป็นเหตุให้เกิดการรวมกลุ่มโรงงานทอกระสอบขึ้น แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านละเมิดกฎข้อบังคับทำให้การรวมกลุ่มต้องสลายตัวไปในที่สุด นอกจากนี้ตลาดต่างประเทศก็ไม่อำนวยให้ส่งกระสอบไปขายยังต่างประเทศได้เพราะมีประเทศคู่แข่งขันที่สำคัญรายใหญ่คือประเทศอินเดียและปากีสถานอีกทั้งขณะนี้มีประเทศจีนเข้ามาแข่งขันในตลาดอีกด้วย ทำให้ภาวะการค้าของอุตสาหกรรมนี้ไม่แจ่มใสเท่าที่ควร การวิเคราะห์ทางการเงินของอุตสาหกรรมกระสอบในประเทศไทย ในช่วงปี 2519 – 2522 ได้ทำการวิเคราะห์โดยคำนวณหาอัตราส่วนทางการเงินซึ่งได้ข้อมูลมาจากงบการเงินของอุตสาหกรรมนี้ ในการวิเคราะห์จะแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะคือ (1) วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินของแต่ละบริษัทตามขนาดของอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งออกเป็นกิจการขนาดใหญ่ กิจการขนาดกลาง และกิจการขนาดเล็ก (2) หาอัตราส่วนทางการเงินโดยเฉลี่ยของกิจการในแต่ละขนาด (3) หาอัตราส่วนทางการเงินโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและ (4) วิเคราะห์แนวโน้มของอัตราส่วนทางเงินของแต่ละประเภทเพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของอัตราส่วนต่างๆ ของแต่ละบริษัทเปรียบเทียบกับอัตราส่วนโดยเฉลี่ยของกิจการในแต่ละขนาด และของทั้งอุตสาหกรรมด้วย ในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบนั้นมีบริษัทที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ทั้งหมด 9 บริษัท ได้ทำการวิเคราะห์โดยคำนวณหาอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ 4 ประเภท ด้วยกัน คือ อัตราส่วนที่แสดงสภาพคล่อง อัตราส่วนแสดงสภาพเสี่ยง อัตราส่วนที่แสดงสมรรถภาพในการดำเนินงาน และอัตราส่วนที่แสดงสมรรถภาพในการหากำไร ซึ่งอัตราส่วนแต่ละประเภทนี้ได้แบ่งไปตามความเหมาะสมได้อีกทั้งหมด 15 อัตราส่วนซึ่งจากผลการวิเคราะห์ถึงฐานะทางทางการเงินของกิจการในแต่ละขนาด พบว่าบริษัทที่มีกิจการขนาดใหญ่มีสภาพคล่องต่ำกว่ากิจการที่มีขนาดกลาง แต่สูงกว่ากิจการที่มีขนาดเล็ก ทางด้านสภาพเสี่ยงกิจการที่มีขนาดใหญ่มีอัตราส่วนนี้สูงกว่ากิจการขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย ส่วนสมรรถภาพในการดำเนินงานพบว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่มีอัตราส่วนต่ำกว่ากิจการที่มีขนาดกลางแต่สูงกว่ากิจกรรมที่มีขนาดเล็ก สำหรับสมรรถภาพในการหากำไร พบว่ากิจการขนาดใหญ่มีกำไรจากการดำเนินงานต่ำกว่ากิจการขนาดกลางและขนาดเล็กเช่นเคย จึงพอที่จะสรุปได้ว่ากิจการขนาดกลางมีฐานะทางการเงินเป็นที่น่าพอใจกว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่และกิจการที่มีขนาดเล็ก ทั้งในด้านสภาพคล่องสภาพเสี่ยง และสมรรถภาพในการหากำไร ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากสภาพคล่อง ปรากฏว่ากิจการขนาดกลางมีหนี้สินหมุนเวียนใกล้เคียงกับสินทรัพย์หมุนเวียน ในขณะที่กิจการขนาดใหญ่ และกิจการขนาดเล็กมีจำนวนหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน นอกจากนี้กิจการขนาดกลางยังสามารถขายสินค้าที่มีอยู่ได้เร็วกว่ากิจการขนาดใหญ่ ทางด้านสภาพเสี่ยงปรากฏว่ากิจการขนาดกลาง ใช้เงินทุนจากส่วนของหนี้สินที่ไม่สูงจนเกินไป ทำให้สภาพเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ทางด้านสมรรถภาพในการหากำไร ก็พบว่ากิจการขนาดกลางมีจำนวนขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีต่อค่าขายน้อยกว่ากิจการขนาดอื่น แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่จะทำกำไรของกิจการขนาดกลางมีมากกว่ากิจการขนาดอื่น จากผลการวิเคราะห์อาจกล่าวโดยส่วนรวมได้ว่าฐานะทางการเงินของอุตสาหกรรมกระสอบในประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่น่าพอใจนัก โดยเฉพาะสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำ และสมรรถภาพในการหากำไรก็ต่ำมากด้วย ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนไม่คุ้มค่ากับที่ได้ลงทุน ซึ่งทำให้ไม่สามารถดึงดูดใจแก่นักลงทุนได้ ด้านการบริหารเงินทุนของอุตสาหกรรมกระสอบในประเทศไทย แบ่งออก เป็น 2 ส่วนคือ โครงสร้างของเงินทุนและงบแสดงที่มาและใช้ไปของเงินทุน เพื่อพิจารณาว่าอุตสาหกรรมนี้จัดหาเงินทุนได้โดยวิธีใด และใช้เงินทุนนั้นไปด้วยความเหมาะสมหรือไม่ โดยศึกษาจากงบดุลรวมของกิจการแต่ละขนาดและอุตสาหกรรม จากการศึกษาพบว่า โครงสร้างของเงินทุนของกิจการขนาดใหญ่ กิจการขนาดกลาง กิจการขนาดเล็กและของอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยทุนที่มาจากหนี้สินเฉลี่ยแล้วประมาณร้อยละ 30.28, 66.13, 63.80 และ 75.00 ตามลำดับ และมักจะเป็นหนี้สินระยะสั้นซึ่งได้แก่เงินเบิกเกินบัญชี เงินกู้ยืมจากธนาคาร และตั๋วเงินจ่ายเฉลี่ยแล้วประมาณร้อยละ 64.31, 57.98, 52.99 และ 61.72 ตามลำดับและส่วนที่เหลือมาจากส่วนของเจ้าของประมาณ 19.72%, 33.88%, 37.20% และ 25.00% ตามลำดับ และส่วนของเจ้าของที่มาจากการนำหุ้นสามัญออกจำหน่ายร้อยละ 26.03, 31.11, 42.35 และ 23.54 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาทางด้านแหล่งที่มาและการใช้ไปของเงินทุนหมุนเวียนปรากฏว่าอุตสาหกรรมกระสอบโดยทั่วไปมีเงินทุนหมุนเวียนลดลง เนื่องจากการใช้ไปของเงินทุนหมุนเวียนมากกว่าที่ได้มาของเงินทุนหมุนเวียน ส่วนทางด้านแหล่งที่มาและการใช้ไปของเงินทุนนั้นปรากฏว่ามีการใช้เงินทุนที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และนโยบายการใช้เงินทุนที่ดี ซึ่งจะก่อให้เกิดสภาพเสี่ยงสูง อีกทั้งยังจะก่อให้ได้รับผลตอบแทนต่ำอีกด้วย ทางด้านปัญหาและข้อคิดเห็น ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมกระสอบในประเทศไทยขณะนี้มีมากมายหลายปัญหาด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยปัญหาค่าจ้างแรงงานค่ากระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น วัตถุดิบในการผลิตที่มีปริมาณไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปัญหาให้ต้นทุนผลิตกระสอบสูงกว่าราคาขายตลอดมา ปัญหาผลิตเกินความต้องการใช้ในประเทศ ต้องส่งออกไปแข่งขันกับต่างประเทศในราคาที่ต่ำกว่าในประเทศ ปัญหาที่มากขณะนี้คือ การแข่งขันของวัสดุเส้นใยสังเคราะห์ คือพลาสติกแทนกระสอบป่าน นอกจากนั้นแหล่งเงินทุนที่สำคัญในการดำเนินงานส่วนใหญ่ต้องอาศัยแหล่งเงินทุนจากหนี้สินระยะสั้น เพราะขาดแหล่งเงินทุนระยะยาว ทำให้นโยบายการจัดหาเงินทุนของอุตสาหกรรมนี้เป็นไปด้วยความไม่สอดคล้องกับอายุการใช้งานของสินทรัพย์ที่จะลงทุน ซึ่งอาจจะพิจารณาได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างเสี่ยงและให้ผลตอบแทนต่ำ แต่ขณะนี้สมาคมอุตสาหกรรมกระสอบไทยได้มีบทบาทที่จะพยายามช่วยเหลืออุตสาหกรรมนี้เพื่อให้อยู่รอดมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการสนับสนุนปลูกปอกระเจาให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะไม่ขาดแคลนวัตถุดิบ ควรระงับการขยายหรือตั้งโรงงานเพิ่มเพื่อไม่ให้ผลผลิตกระสอบเกินความต้องการมาก ในด้านต้นทุนการผลิต ด้านแรงงานและค่ากระแสไฟฟ้าคงจะควบคุมได้ยากเพราะเป็นไปตามคำสั่งรัฐบาลแต่ก็ควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของคนงาน ประหยัดค่าวัตถุดิบโดยการคัดเลือกปอที่มีคุณภาพดีมาผลิตควรประหยัดการใช้กระแสไฟฟ้าเท่าที่สามารถจะทำได้ อีกทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรให้ดีขึ้น สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านจำหน่าย ควรสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มโรงงานไม่ให้ขายราคาตัดกันเอง โดยทางราชการเข้ามามีบทบาทและร่วมกำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติให้รัดกุม ซึ่งอาจจะออกเป็นกฎหมายบังคับอย่างเช่น การรวมกลุ่มโรงงาน ในการผลิตและจำหน่ายของสมาคมน้ำตาลแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้มีการใช้กระสอบป่านบรรจุสินค้าทางด้านอื่นอีกด้วย ควรเสนอต่อรัฐบาลให้ช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาว เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทยควรเร่งรัดพิจารณาการขยายวงเงินเครดิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของแต่ละโรงงานเพื่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมนี้ตลอดไป

Share

COinS