Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิธีการปรับสภาพวัสดุผิวจราจรแอสฟัลติกคอนกรีตเก่านำมาใช้งานใหม่ ในประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The methodology of recycling asphaltic concrete pavement materials in Thailand

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

ดิเรก ลาวัณย์ศิริ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

วิศวกรรมโยธา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.504

Abstract

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อที่จะเสนอและศึกษาวิธีการปรับสภาพวัสดุผิวจราจรแอสพัลติกคอนกรีตเก่า นำมาใช้งานใหม่เป็นวิธีการซ่อมแซมถนนวิธีใหม่ เนื่องจากวิธีการนี้ช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่าย ค่าวัสดุและสามารถปรับระดับของผิวจราจรให้มีสภาพทางเรขาคณิต (Geometric) ของถนนที่เหมาะสม เทคนิคของวิธีการปรับสภาพวัสดุผิวจราจร สามารถแบ่งออกได้ เป็น 3 ประเภท (1) การปรับสภาพเฉพาะผิวบน(Surface recycling) เป็นการซ่อมแซมเฉพาะผิวบนที่มีความลึกไม่มากกว่า 1 นิ้ว (2) การปรับสภาพในสนาม (In-place recycling) เป็นการซ่อมแซมผิวจราจรที่มีความลึกมากกว่า 1 นิ้ว ในสนาม (3) การปรับสภาพในโรงงาน (Central-plant recycling) เป็นการซ่อมแซมโดยการขูดลอกวัสดุเก่านำไปปรับสภาพในโรงงาน แล้วจึงนำกลับมาปูบนผิวจราจรอีกครั้ง การเลือกใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับลักษณะความเสียหายของผิวจราจร การมีวัสดุ เครื่องมือและโรงงานผสมแอสพัลติกคอนกรีต ใกล้สถานที่ก่อสร้าง วัสดุแอสพัลคิกคอนกรีต ที่มีอายุการใช้งานมาแล้ว จะ เกิดการ เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติโดยที่ขนาดของวัสดุมวลรวม (Aggregate) จะเล็กลงเนื่องจากการรับน้ำหนักจราจรและการบดอัดในการก่อสร้าง แอสพัลท์จะเกิดการแข็งตัวที่เรียกว่า "Hardening" ในการปรับสภาพจะปรับขนาดของวัสดุมวลรวม โดยการเพิ่มวัสดุมวลรวมใหม่ และจะนำแอสพัลท์ไปผสมกับแอสพัลท์ชนิดที่มีเกรดอ่อนหรือสารปรับสภาพ (Modifier) ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีลักษณะทางกายภาพที่คัดเลือก เพื่อทำให้แอสพัลท์เก่ามีคุณสมบัติ เปลี่ยนกลับเหมือนเช่นข้อกำหนดของแอสพัลท์ ในขบวนการของการปรับสภาพสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของการผสมได้ เป็น 2 ลักษณะคือ (1) การปรับสภาพโดยวิธีการผสมร้อน (Hot-mix recycling) เป็นวิธีที่ใช้ความร้อนในการผสม (2) การปรับสภาพโดยวิธีการผสมเย็น (Cold-mix recycling) เป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนในการผสม โดยการใช้แอสพัลท์เหลว (Liquid asphalt) ปูนขาว (Lime) หรือ ซีเมนต์(Cement) เป็นตัวประสานใหม่ ในการวิจัยนี้ เลือกใช้ข้อกำหนดวัสดุของกรมทางหลวงในการพิจารณา และทดสอบตัวอย่างวัสดุแอสพัลติก คอนกรีตที่ได้จากบริเวณสี่แยกศาลาแดง ถนนพระรามที่ 4 มีอายุการใช้งานประมาณ 7 ปี นำมาแยกแอสพัลท์และวัสดุมวลรวมออกจากกัน ทำการทดสอบขนาดของวัสดุมวลรวมและทดสอบคุณสมบัติของแอสพัลท์ได้ค่าพีนีเตรชั่น (Penetration) และค่าการดึงเป็นเส้น (Ductility) ต่ำกว่าข้อกำหนดและมีจุดอ่อนตัว (Softening point) ที่อุณหภูมิสูง เนื่องจากในประเทศไทยไม่เคยนำวิธีการนี้มาใช้ จึงไม่มีแอสพัลท์ที่มีเกรดอ่อน และสารปรับสภาพจำหน่ายภายในประเทศ ในการวิจัยนี้เลือกใช้น้ำมันเตาแทนเป็นสารปรับสภาพ จากการทดสอบหาปริมาณการผสมระหว่างแอสพัลท์และน้ำมันเตาได้ปริมาณที่เหมาะสมของแอสพัลท์เก่าและน้ำมันเตา เท่ากับ 82:18 โดยน้ำหนัก ซึ่งได้ค่าพีนีเตรชั่น(Penetration) อยู่ในข้อกำหนดและทำการทดสอบคุณสมบัติอื่น ๆ ของส่วนผสมนี้ พบว่ามีคูณสมบัติอยู่ในข้อกำหนดทุกประการ และมีจุดอ่อนตัวที่อุณหภูมิต่ำลง แสดงว่าน้ำมัน เตาสามารถนำมาใช้เป็นสารปรับสภาพแอสพัลท์เก่าได้ เมื่อทำการทดสอบหาปริมาณแอสพัลท์ในส่วนผสมแอสพัลติกคอนกรีตเก่า ได้ปริมาณแอสพัลท์ เฉลี่ย 5.2 เปอร์เซนต์ โดยน้ำหนักของวัสดุมวลรวม ทำการผสมใหม่และทดสอบด้วยวิธีมาร์แชลล์ พบว่าสามารถไปใช้เป็นวัสดุชั้นพื้นทางได้ เมื่อนำวัสดุแอสพัลติก คอนกรีตเก่ามาเพิ่มวัสดุมวลรวมใหม่และน้ำมันเตา ทดสอบด้วยวิธีมาร์แชลล์ พบว่าปริมาณของแอสพัลท์ที่เหมาะสมเท่ากับ 4.83 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักของวัสดุมวลรวมและสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุชั้นผิวทางได้ เนื่องจากได้คุณสมบัติตามข้อกำหนดทุกประการ จากผลของการศึกษานี้ วิธีการปรับสภาพวัสดุผิวจราจรเก่า สามารถนำมาใช้เป็นวิธีการซ่อมแซมถนนในประเทศไทยได้

ISBN

9745638129

Share

COinS