Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Relationships between health belief and self-practice of myocardial infarct patients

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

จินตนา ยูนิพันธุ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

พยาบาลศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.147

Abstract

การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย จากโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 7 แห่ง กลุ่มตัวอย่างประชากรเป็นผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่มารับการตรวจตามนัดที่คลีนิคหัวใจ จำนวน 150 คน การคัดเลือกตัวอย่างประชากรโดยวิธีแบ่งเป็นพวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านสุขภาพ และส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ได้นำไปหาความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 10 ท่าน และหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามแต่ละส่วนเมื่อใช้กับตัวอย่างประชากรจริง โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ได้ค่าความเที่ยง 0.79 และ 0.81 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย คะแนนความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระหว่างคู่ หลักการทดสอบความแปรปรวนโดยวิธีของตูกี และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยมีข้อค้นพบดังต่อไปนี้ 1.คะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพทั้ง 4 ด้าน และโดยส่วนรวมของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย อยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงยอมรับสมมุติฐานที่ว่าผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายมีความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับสูง 2.ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพศชายและหญิงมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพรายด้านและโดยส่วนรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดังนั้นจึงปฏิเสธสมมุติฐานที่ว่า ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเพศหญิงมีคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพสูงกว่าเพศชาย 3.ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่มีอายุแตกต่างกัน มีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพรายด้านและโดยส่วนรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นจึงปฏิเสธสมมุติฐานที่ว่า ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่มีอายุระหว่าง 41-60 ปี และ 61 ปีขึ้นไปมีคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพสูงกว่าผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี 4.ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพรายด้านโดยส่วนรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ .05 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยระหว่างคู่ พบว่า กลุ่มที่มีระดับการศึกษามัธยมศึกษากับประถมศึกษา และอุดมศึกษากับประถมศึกษา มีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนกลุ่มที่มีระดับการศึกษามัธยมศึกษากับอุดมศึกษา มีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยส่วนรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นจึงยอมรับสมมุติฐานที่ว่า ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่มีระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษามีคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพสูงกว่าผู้ป่วยที่มีระดับการศึกษาชั้นประถมศึกษา 5.คะแนนความเชื่อด้านสุขภาพรายด้านและโดยส่วนรวมกับคะแนนการปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีความสัมพันธ์กันในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ .05 ตามลำดับ ดังนั้นจึงยอมรับสมมุติฐานที่ว่า ความเชื่อด้านสุขภาพกับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีความสัมพันธ์กันในทางบวก

Share

COinS