Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ลักษณะอำนาจนิยมในครอบครัวไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Authoritarianism in Thai Family

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

เสริน ปุณณะหิตานนท์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.547

Abstract

การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายอย่างกว้างๆ เพื่อศึกษาว่าครอบครัวไทยโดยทำไปมีลักษณะอำนาจนิยมหรือไม่ และในกรณีที่ผลการศึกษายืนยันวามีลักษณะดังกล่าวก็จะดำเนิน การต่อไปด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะ 2 ประการคือ ประการแรก เพื่อประเมินอิทธิพลของ บิดามารดา/ผู้ปกครอง (ในกระบวนการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคม) ที่มีต่อการปลูกฝังและพัฒนาทัศนคติและค่านิยมที่บ่งถึงลักษณะอำนาจนิยมในตัวเด็ก และประการที่สองเพื่อ วินิจฉัยว่าครอบครัวและโรงเรียนมีอิทธิพลร่วมกันในการปลูกฝังลักษณะอำนาจนิยมของเยาวชนไทยหรือไม่เพื่อความสะดวกและการประหยัดในการวิจัย ผู้ศึกษาได้เลือกเอานักเรียน/นักศึกษา ซึ่งเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของครอบครัวตามปกติ เป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับการศึกษา ในครั้งนี้ โดยให้พวกเขาประเมินตัวเองและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ครู/อาจารย์ในอดีต ครู/อาจารย์ในปัจจุบันและเพื่อนสนิท กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกผู้มีอาวุโสของครอบครัว (ซึ่งในที่นี้ก็คือบิดามารดา/ผู้ปกครอง) และของคนอื่นในแวดวงของสถาบัน การศึกษา ก็คือสิ่งที่นักเรียน/นักศึกษารับรู้นั้นเอง เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ข้อมูลที่ใช้สำหรับการศึกษาในครั้งนี้ได้มา โดยวิธีการออกแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเองและมาตราวัดทัศนคติที่ดัดแปลงมาจาก California F Scale โดยให้นักเรียนจำนวน 181 คน และนักศึกษาจำนวน 97 คน เป็นผู้ตอบ ในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาดังกล่าวได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ตามพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของผู้วิจัยเกี่ยวกับการมีลักษณะอำนาจนิยม และไม่มีลักษณะอำนาจนิยมของสถาบันการศึกษาต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ เนื่องจากอาจเป็นไปได้ที่ว่า ลักษณะอำนาจนิยมของนักเรียน/นักศึกษาอาจจะ ไม่สอดคล้องกับของกลุ่มต่างๆ ผู้วิจัยจึงได้นำเอาแนวความคิดเกี่ยวกับ "กลุ่มอ่างอิง" มาใช้เพื่อช่วยในการแก้ปัญหา (ในกรณีที่เกิดความไม่สอดคล้องดังกล่าว) และช่วยให้ทราบว่าบ่อเกิดอันแท้จริงของทัศนคติและค่านิยมที่บ่งถึงลักษณะอำนาจนิยมของนักเรียน/ นักศึกษานั้นเป็นอย่างไร ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานมีลักษณะทั่วไปข้อหนึ่งคือ ครอบครัวไทยมีลักษณะอำนาจนิยมและตั้งสมมุติฐานไว้อีก 2 ข้อ เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นเหตุเป็นผลกันระหว่างทัศนคติและค่านิยมของบิดามารดา/ผู้ปกครองกับของบุตร และระหว่างทัศนคติและค่านิยมของครู/อาจารย์และเพื่อนสนิทกับของนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งเป็นผู้ตอบแบบสอบถาม ผลการศึกษาได้ข้อมูลมาสนับสนุนสมมุติฐานที่ได้ตั้งไว้อย่างเพียงพอถึง 4 ใน 5 ข้อ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้คือ 1. เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียน/นักศึกษามีลักษณะอำนาจนิยม 2.50 กว่าเปอร์เซ็นต์ของบิดามารดา/ผู้ปกครองมีลักษณะอำนาจนิยม 3. มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางระหว่างลักษณะอำนาจนิยมของนักเรียน/นักศึกษากับบิดามารดา/ผู้ปกครอง 4. ไม่พบความสัมพันธ์ในลักษณะอำนาจนิยมระหว่างครู/อาจารย์ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกับนักเรียน/นักศึกษา 5. สัดส่วนของนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งทั้งบิดามารดา/ผู้ปกครองและครู/อาจารย์เป็นผู้ที่มีลักษณะอำนาจนิยมสูงกว่าสัดส่วนของนักเรียน/นักศึกษาที่บิดามารดา/ผู้ปกครองหรือครู/อาจารย์ มีลักษณะอำนาจนิยมแต่เพียงฝ่ายเดียว นอกจากนั้นยังพบด้วยว่า ผู้ที่มีลักษณะอำนาจนิยมแตกต่างไปจากผู้ที่ไม่มีลักษณะอำนาจนิยมในด้านอายุและระดับการศึกษา กล่าวคือ สัดส่วนของผู้มีลักษณะอำนาจนิยมในกลุ่มอายุ 16 - 18 ปีสูงกว่าของกลุ่มอื่นๆ สำหรับตัวแปรเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรอื่นๆ อันได้แก่ เพศ ลำดับการเกิด ภูมิลำเนา อาชีพของบิดามารดา/ผู้ปกครอง และโครงสร้างของสถาบันการศึกษาไม่ได้เป็นเครื่องชี้ความแตกต่างในเรื่องของการมีลักษณะอำนาจนิยม

Share

COinS