Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความคิดเห็นและบทบาทของผู้นำสมาคมทางพุทธศาสนาในการปรับตัว ของสมาชิกและประชาชนให้สอดคล้องกับความเป็นสมัยใหม่ของสังคมไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The opinion and roles of leasers of the buddhist association in the adaptations and compatability of its memberships and the public with the modernization of Thai society

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

ประเสริฐ แย้มกลิ้นฟุ้ง

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.545

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงความคิดเห็นและบทบาทของผู้นำสมาคมทางพุทะศาสนาทั่วประเทศต่อการปรับตัวของสมาชิกและประชาชนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสมัยใหม่ โดยนำเอาลักษณะที่เกี่ยวข้อง ภูมิหลังของผู้นำในด้านอายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ ถิ่นที่อยู่อาศัย รายได้ที่คิดว่ามีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและบทบาทในการปรับตัวพัฒนาให้สอดคล้องกับความเป็นสมัยใหม่ของสังคมไทย ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาได้จากการค้นคว้าเอกสาร และการวิจัยภาคสนาม โดยการใช้ข้อมูลปฐมภูมิจากการสุ่มตัวอย่างตามจุดมุ่งหมาย โดยใช้ตัวอย่างประชากรผู้นำ 125 คน จากสมาคมทางพุทธศาสนาทั่วประเทศ และจากผู้วิจัยไปสังเกตการณ์ปฏิบัติงานจากกิจกรรมต่างๆ ของผู้นำ จากสมาคมพุทธศาสนาทั่วประเทศไทย และผู้นำที่เด่นๆในทางพุทธศาสนา การวิเคราะห์ทางสถิติส่วนมากใช้เป็นอัตราส่วนร้อยละ และแยกตามความแตกต่างของภูมิหลัง เช่น เพศ อายุ ถิ่นที่อยู่อาศัย ระดับการศึกษา อาชีพ ระดับรายได้ ส่วนการวิเคราะห์รวมเป็นอัตราส่วนร้อย ผลการวิจัย ผู้นำส่วนมากเป็นชาย 76.8% อัตราส่วนของผู้นำชายในกรุงเทพฯ มีสัดส่วนมากกว่าผู้นำชายในต่างจังหวัด อายุของผู้นำส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 40-49 ปี รองลงไป คือ ผู้นำมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คือ 44.8% และ 34.4% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าส่วนมากมีอายุมากแล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ กลุ่มผู้เกษียณอายุราชการ 60 ปีแล้วมาสนใจรวมกลุ่มในสมาคมทางพุทธศาสนามากที่สุด ระดับการศึกษาผู้นำในกรุงเทพฯ จะมีการศึกษาสูงกว่าผู้นำในต่างจังหวัด คือ มีการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไปร้อยละ 61.5 แต่ผู้นำในต่างจังหวัดเป็นผู้มีความสนใจในพุทธศาสนาและได้เปรียญธรรมเป็นจำนวนมาก ผู้นำชายมีอัตราส่วนร้อยที่ได้รับการศึกษาสูงกว่าผู้นำที่เป็นหญิง อาชีพของผู้นำส่วนมากรับราชการ 60.0 รองลงมา คือ ประกอบการค้าและบริการเอกชนที่เป็นเกษตรกรมีเพียง 5.1 รายได้ส่วนมากตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป คือ 4,000 – 6,000 บาท โดยผู้นำในกรุงเทพฯ มีรายได้ส่วนมากสูงกว่า 6,000 บาทขึ้นไป ผู้นำเหล่านี้เข้ามารวมกลุ่มกันเป็นสมาคมเพื่อฟื้นฟูส่งเสริมและศึกษาหลักธรรมของพุทธศาสนาที่ถูกต้องตามหลักธรรม ที่ผู้นำเชื่อมั่นว่าหากสังคมได้ปฏิบัติตามแล้วจะช่วยให้เกิดการพัฒนาได้อย่างแท้จริง คือ ช่วยพัฒนาทั้งตัวเอง ครอบครัว สังคม หมู่คณะ ชาติ บ้านเมือง และช่วยเหลือชาวโลก ผู้นำที่มาร่วมกันเป็นสมาคมนับตั้งแต่แรกเป็นผู้ได้รับการศึกษา มีผลให้มีความคิดที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าใจปัญหาเพื่อนำมาร่วมกันพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพสังคมให้เป็นสมัยใหม่ โดยนำหลักธรรมมาปฏิบัติเป็นทางสายกลางที่ไม่เน้นสุดโต่งการพัฒนาทางด้านวัตถุ ให้คนในสังคมไทยได้รับการศึกษาหลักคำสอนในพุทธศาสนาแล้วนำไปปฏิบัติที่สมควรแก่ธรรม เป็นสัมมาทิฏฐิหรือความเห็นชอบ ก็ยังผลให้เกิดความสงบสุข และพัฒนาเจริญไปในแนวทางที่สังคมไทยปรารถนา

Share

COinS