Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัญหาเรื่องความชอบธรรมของการดื้อแพ่ง : การศึกษาเชิงวิจารณ์

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The problem of the justification of civil disobedience : a critical study

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

ปรีชา ช้างขวัญยืน

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.588

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาถึง ปัญหาเรื่องความชอบธรรมของการดื้อแพ่งกล่าวคือ การดื้อแพ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย โดยมีจุดประสงค์ที่จะต่อต้านหรือลบล้างกฎหมาย, นโยบาย ตลอดจนมติอื่น ๆ ของรัฐ และยังเป็นวิธีสุดท้ายเพื่อขอแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ชอบธรรมต่าง ๆ ในสังคม ผู้ดื้อแพ่งจึงพยายามหาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการกระทำของพวกเขา หรือสิ่งที่พวกเขาทำนั้นต้องถูกต้องชอบธรรม นอกจากนั้น พวกเขาควรจะมีพันธะอันอื่นที่เหนือกว่าการเคารพกฎหมาย จากการวิเคราะห์พบว่ามีอยู่ 2 พวก คือ พวกแรกเชื่อว่า การดื้อแพ่งเป็นการกระทำที่ชอบธรรม ส่วนพวกที่สองเชื่อว่า การดื้อแพ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม พวกที่เชื่อว่าการดื้อแพ่งชอบธรรมนั้นต่างให้เหตุผลตามหลักการเหล่านี้ เช่น อ้างหลักความยุติธรรมแห่งกฎหมาย, อ้างหลักอื่น ๆ อีก เช่น กฎเบื้องบน, และหลักประโยชน์นิยม เป็นต้น แม้ผู้ดื้อแพ่งพยายามจะหาเหตุผลบนหลักการที่กล่าวมาแล้วก็ตาม หลักการดังกล่าวยังคงมีข้อบกพร่องในตัวมันเอง และ แม้พวกเขาจะอ้างหลักที่ชอบธรรมก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำนั้นต้องชอบธรรมทุกสถานการณ์ การใช้หลักการนั้นยังเป็นหลักการที่กว้างซึ่งไม่สามารถจะนำมาใช้ในเหตุการณ์เฉพาะได้ คือหลักการนี้จะใช้เมื่อไร ที่ไหน เวลาใด การปกครองประชาธิปไตยเป็นระบบที่ให้สิทธิแก่ประชาชนที่จะแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงกฎหมาย, นโยบายและสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอื่น ๆ ในสังคม ถ้าประชาชนใช้สิทธิอย่างนั้นการกระทำของพวกเขาก็ควรถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามการกระทำของ ผู้ดื้อแพ่งยังถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้ผู้ดื้อแพ่งพยายามจะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนการกระทำของพวกเขา เหตุผลดังกล่าวยังมีข้อขัดแย้งอยู่บ้าง ดังต่อไปนี้ 1. หลักความยุติธรรมแห่งกฎหมาย ตามเหตุผลของหลักการนี้ การดื้อแพ่งต้องเข้าใจว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่มีกฎหมายใดที่ยอมเปลี่ยนการกระทำที่ผิดกฎหมายให้เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ถ้ากฎหมายยอมให้การกระทำที่ผิดกฎหมายถูกต้อง กฎหมายนั้นต้องไม่ยุติธรรม 2. กฎเบื้องบน ตามเหตุผลของหลักการนี้ ยังมีปัญหาที่สามารถจะถามได้อีกต่อไปได้ว่า หลักการนี้สั่งอย่างไร, ใครเป็นผู้รู้กฎนี้ และกฎนี้จะใช้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ต้องการต่อต้านหลักการนี้ และกลุ่มผู้ต่อต้านเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่า พวกที่ยึดหลักการนี้ต่างตีความหมายของกฎเบื้องบนตามความเข้าใจของตนเอง ดังนั้นจะถือเอาความหมายนั้นมาเป็นเกณฑ์ตัดสินในเรื่องผิด ถูกไม่ได้ และการอ้างกฎนั้นยังอ้างในสิ่งที่เป็นนามธรรมเกินไป และกฎดังกล่าวยังเป็นกฎอื่นที่ไม่ใช่หลักแห่งกฎหมาย ถ้าหลักแห่งกฎหมายถือเสมือนเป็นหลักแห่งความประพฤติแล้ว หลักการอันอื่นควรจะผิด กล่าวโดยสรุป ปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาเรื่องญาณวิทยาและปัญหาการใช้ในสถานการณ์เฉพาะ 3. หลักประโยชน์นิยม การอ้างหลักประโยชน์นิยมยังมีข้อบกพร่องที่พอจะชี้ให้เห็นจริงได้ ดังนี้ ประการแรก ปัญหาเรื่องการกระจายความสุขที่ยุติธรรม แม้ประชาชนจะรู้ว่าความสุขมากที่สุดคืออะไร หรืออะไรคือความทุกข์น้อยที่สุด แต่ยังเป็นการยากที่เราจะรู้ว่าความสุขมากที่สุดของคนจำนวนมากที่สุดคืออะไร ประการที่สอง ปัญหาเกณฑ์การตัดสิน พวกนี้ยอมรับว่ามีข้อยกเว้นได้เสมอ ถ้ามีข้อยกเว้นกฎได้บ่อย ๆ เข้า กฎเหล่านั้นก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ประการที่สาม ปัญหาเกี่ยวกับศีลธรรม พวกที่ยึด[มั่น]ในหลักการนี้ยอมรับผลของการกระทำมากกว่ามโนธรรมทางศีลธรรม เมื่อไม่ยอมรับมโนธรรมทางศีลธรรมย่อมหมายความว่าพวกนี้ไม่ยอมรับว่ามีการดื้อแพ่ง ประการสุดท้าย ปัญหาเรื่อง Act and Rule Utilitarianism. พวกแรกยอมรับว่าความรุนแรงบางครั้งถูกต้อง ในขณะที่พวกหลังไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงได้เลย และยังไม่ยอมรับว่าการละเมิดกฎหมายว่าถูกต้องไม่ว่ากรณีใด ๆ ส่วนเบนธัม ซึ่งเป็นนักปรัชญาคนสำคัญในลัทธินี้ เขายอมรับว่าประชาชนควรมีเสรีภาพในด้านเศรษฐกิจ แต่การมีเสรีภาพเช่นนั้นย่อมนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และสังคมแบบนั้นย่อมนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมได้เสมอ กล่าวโดยสรุป การดื้อแพ่งแม้จะเกิดในสังคมประชาธิปไตย และเหตุผลที่สนับสนุนในบางครั้งอาจดูชอบธรรม เมื่อวิเคราะห์ในขั้นสุดท้าย เหตุผลเหล่านั้นยังมีข้อบกพร่องและชี้ได้ว่าการดื้อแพ่งเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมเสมอ

Share

COinS