Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครู เกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชา โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 1

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Opinions of school administrators, head of departments and teaches concerning the competencies in academic administration of head of departments in large secondary schools under the auspices of Department of General Education in educational region one

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

วีระวัฒน์ อุทัยรัตน์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

บริหารการศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.88

Abstract

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครูเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชา โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 1 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชาและครูเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการขงหัวหน้าหมวดวิชา โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 1 สมมติฐานของการวิจัย ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครู เกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชา โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 1 ไม่แตกต่างกัน วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 1 ซึ่งมี 5 จังหวัด คือ จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ ประชากรและตัวอย่างประชากรประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน 48 คน หัวหน้าหมวดวิชา 129 คน และครู 333 คน จาก 24 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นข้อถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ ตอนที่สองเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ใช้วัดความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชาและครูเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชา 7 ด้านคือ หลักสูตรและเอกสารการใช้หลักสูตร วิธีสอนและตารางสอน อุปกรณ์การเรียนการสอน การนิเทศ งานวิชาการ การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผล การวางแผนปรับปรุงงานวิชาการ มีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประเมินค่า แบบสอบถามได้รับคืน 453 ฉบับ จาก 510 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 88.82 ของแบบสอบถามที่ส่งไป การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีการหาค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบความแตกต่างของความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ของกลุ่ม ประชากรใช้วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ถ้าพบว่ามีความคิดเห็นแตกต่างกันก็จะทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่ สรุปผลการวิจัย 1. ความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชาโดยส่วนรวมของประชากรและกลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 กลุ่ม อยู่ในระดับปานกลาง ผู้บริหารและหัวหน้าหมวดวิชามีความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชาสอดคล้องกันในระดับมาก ส่วนครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชาในระดับปานกลาง 2. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครู มีความคิดเห็นโดยส่วนรวมระดับมากในด้านวิธีสอนและตารางสอน อุปกรณ์การเรียนการสอนและการจัดการเรียนการสอน ส่วนด้านที่เหลือมีความคิดเห็นโดยส่วนรวมระดับปานกลาง คือด้านหลักสูตรและเอกสารการใช้หลักสูตร การนิเทศงานวิชาการ การวัดผลและประเมินผล และการวางแผนปรับปรุงงานวิชาการ 3. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชาและครูมีความคิดเห็นตรงกันว่า หัวหน้าหมวดวิชามีสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการระดับปานกลางในด้านการนิเทศงานวิชาการ ด้านที่ผู้บริหารโรงเรียนและหัวหน้าหมวดวิชามีความคิดเห็นสอดคล้องกันในระดับมาก แต่ครูมีความคิดเห็นในระดับปานกลาง คือด้านหลักสูตนและเอกสารการใช้หลักสูตร วิธีสอนและตารางสอน อุปกรณ์การเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผล และการวางแผนปรับปรุงงานวิชาการ 4. เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา ครูเป็นด้าน ๆ ทั้ง 7 ด้าน พบว่าในทุกด้านความคิดเป็นของประชากรและกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และเมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าหมวดวิชา และครูเกี่ยวกับสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของหัวหน้าหมวดวิชาทุกด้านรวมกัน พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้บริหารโรงเรียนแลหัวหน้าหมวดวิชามีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนผู้บริหารโรงเรียนและครู และหัวหน้าหมวดวิชาและครู มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งขัดแย้งกับสมมติฐานของการวิจัย

Share

COinS