Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

คำมั่น

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Promise

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

พิเศษ เสตเสถึยร

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.319

Abstract

ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้บัญญัติ เรื่อง “คำมั่น" ไว้ในมาตรา 362-365 454 526 572 ฯลฯ โดยได้กล่าวถึงลักษณะของคำมั่น การตอบรับคำมั่น การถอนคำมั่นไว้ในแต่ละมาตรา อย่างไรก็ดี ผู้ยกร่างกฎหมายไทยก็ได้บัญญัติคำเสนอไว้ในประมวลกฎหมายนี้ด้วยโดยได้บัญญัติไว้ในมาตรา 354-361 ซึ่งถ้ามองจากลักษณะภายนอกของคำทั้งสองแล้ว จะเห็นได้ว่าหาข้อแตกต่างกันยาก โดยเฉพาะผลบังคับทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี คำดังกล่าวด้วยเหตุที่ได้บัญญัติไว้แยกออกต่างหากจากคำเสนอ ข้อแตกต่างจึงต้องมี ดังนั้นเพื่อที่จะวิเคราะห์คำมั่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงการก่อกำเนิด ผลบังคับ และการสิ้นสุด ผู้เขียนจึงได้ทำการวิจัย โดยวิเคราะห์ถึงบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับคำมั่น คำเสนอและสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย แนวคำพิพากษาของศาลไทย ตลอดจนแนวความคิดของนักกฎหมายไทย และอ้างอิงหลักกฎหมายของต่างประเทศมาประกอบ ซึ่งจากการวิจัยพอสรุปได้ว่า 1) คำมั่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยนั้น มีรากฐานมาจากหลักกฎหมายเรื่องสัญญาฝ่ายเดียว (Unilateral Contract) 2) ลักษณะเฉพาะของคำมั่นดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะเห็นได้ว่า คำมั่นบางกรณีมีลักษณะทำนองเดียวกับคำเสนอ ได้แก่ คำมั่นโฆษณาจะให้รางวัลตามมาตรา 362 และคำมั่นบางกรณีมีลักษณะเป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่เรียกว่า สัญญาฝ่ายเดียว (Unilateral Contract) ได้แก่ คำมั่นจะซื้อขาย ตามาตรา 454 3) คำมั่นจะซื้อจะขายมีลักษณะเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่า คำมั่นเกิดขึ้นได้โดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งว่าจะซื้อหรือจะขายโดยมีคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งตกลงรับรู้ซึ่งคำมั่นนั้น ผลของการตกลงรับรู้ ก่อให้เกิดความผูกพันในลักษณะคล้ายสัญญาอย่างหนึ่ง ผลบังคับของคำมั่นดังกล่าวจึงต้องบังคับตามบททั่วไปในเรื่องผลแห่งหนี้ แต่ถ้าคำมั่นนั้นปราศจากการตกลงรับรู้จากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นนี้ย่อมมีผลเป็นเพียงคำเสนอธรรมดาเท่านั้น และผลบังคับย่อมเป็นไปตามกฎหมายลักษณะสัญญาว่าด้วยคำเสนอ 4) คำมั่นก่อให้เกิดความผูกพันในลักษณะที่เรียกว่าหนี้ได้ ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีนิติสัมพันธ์จากเจตนาที่แสดงออกในทางก่อหนี้ 5) ลักษณะเฉพาะของคำมั่นที่ต่างออกไปจากคำเสนออย่างเห็นได้ชัด คือ 5.1) คำมั่นบางชนิดกฎหมายกำหนดให้ต้องมีแบบ ได้แก่ คำมั่นจะให้ตามาตรา 526 5.2) ผลของคำมั่นบางชนิดซึ่งมิได้กำหนดระยะเวลาให้สนองรับความผูกพันจะยังคงมีอยู่แก่ผู้ทำคำมั่นตราบเท่าที่ผู้ทำคำมั่นจะได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นเสียก่อน ได้แก่ 5.2.1) คำมั่นโฆษณาจะให้รางวัลตามมาตรา 362 ผู้ทำคำมั่นจะผูกพันอยู่กับคำมั่นตราบจนกระทั่งผู้ทำคำมั่นจะได้ถอนคำมั่นโดยวิธีเดียวกับที่โฆษณา 5.2.2) คำมั่นจะซื้อหรือขาย ตามมาตรา 454 ผู้ทำคำมั่นจะผูกพันอยู่กับคำมั่นตราบจนกระทั่งผู้ทำคำมั่นจะได้บอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่ 5.3) คำมั่นไม่มีบทบัญญัติสำหรับกรณีที่มีการสนองรับโดยมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อแก้ไข หรือมีข้อจำกัดดังเช่นคำเสนอ ดังนั้น การสนองรับคำมั่นโดยมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อแก้ไข หรือมีข้อจำกัดต่อคำมั่นบางชนิดไม่ทำให้คำมั่นสิ้นผลไปเพราะการสิ้นผลต้องกระทำด้วยวิธีบอกกล่าว กรณีที่มิได้มีการกำหนดเวลา คำมั่นชนิดนี้ ได้แก่ คำมั่นจะซื้อหรือจะขาย ดังนั้นเมื่อคำมั่นไม่มีสิ้นผล หากผู้สนองรับคำมั่นเกิดเปลี่ยนใจ จะสนองรับตามคำมั่นเดิมย่อมกระทำได้ และย่อมก่อให้เกิดความผูกพันทางสัญญา ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ 1) ผู้ยกร่างกฎหมายควรวางบทบัญญัติกฎหมายกรณีการก่อให้เกิดความผูกพันฐานคำมั่นไว้ให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในการตีความต่อไป 2) วางบทบัญญัติรับรองผลแห่งหนี้ กรณีมีการผิดคำมั่นว่าจะเรียกค่าเสียหายได้ในลักษณะใด 3) เคยมีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยถึงความผูกพันของคำมั่นจะซื้อขายไว้ว่าคำมั่นซื้อขายซึ่งไม่มีกำหนดเวลา ถ้าผู้ให้คำมั่นมิได้บอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบตกลงให้สำเร็จไป คำมั่นนั้นก็ผูกพันอยู่ตลอดไป แม้จะเกิน 10 ปีแล้ว อีกฝ่ายก็ยังตอบตกลงให้ทำการซื้อขายได้ (คำพิพากษาฎีกา 1004/2485) จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ผู้เขียนมีความเห็นเช่นเดียวกับคำพิพากษาฎีกาที่ว่าคำมั่นซื้อขายซึ่งไม่มีกำหนดเวลาถ้าผู้ให้คำมั่นมิได้บอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบตกลงให้เสร็จไป คำมั่นนั้นก็ผูกพันอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตามความที่ศาลฎีกากล่าวว่า “คำมั่นนั้นก็ผูกพันอยู่ตลอดไป แม้จะเกิน 10 ปีแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังตอบตกลงให้ทำการซื้อขายได้" ผู้เขียนเห็นว่า กำหนดอายุความกับระยะเวลาความผูกพันของคำมั่นเป็นคนละกรณีกันจึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้ แต่เนื่องจากผลการวิจัยผู้เขียนเห็นว่าคำมั่นจะซื้อขายก่อให้เกิดหนี้ได้ ดังนั้นแม้คำมั่นจะมีผลผูกพันอยู่ตลอดไป คำมั่นดังกล่าวก็ควรจะอยู่ในบังคับของบัญญัติเรื่องอายุความด้วย

Share

COinS