Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ประชาธิปไตยแบบไทย : บทศึกษาผลการนำแนวคิดและกลไกระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Thai democracy : A study on institutional transfer of democratic concept and mechanism to Thailand
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
แสวง รัตนมงคลมาศ
Second Advisor
ชัยอนันต์ สมุทวณิช
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาเอก
Degree Discipline
การปกครอง
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.406
Abstract
ประชาธิปไตยแบบไทยเป็นเทคโนโยลีทางสังคม (social techonology) ที่นำเข้ามาในลักษณะของการโยกย้ายแนวคิดและกลไกของระบอบประชาธิปไตยตะวันตก ผลของการนำเข้าในเชิงการโยกย้ายสถาบัน (Institutional Transfer) ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมามักจะมีการแก้ไขดัดแปลงทั้งด้านแนวคิดและกลไกเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองไทย การแก้ไขดัดแปลงดังกล่าวย่อมทำให้ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยเบี่ยงเบนไปจากประชาธิปไตยตะวันตก จุดมุ่งหมายของการศึกษาในวิทยานิพนธ์นี้ก็เพื่อค้นหาว่า ประชาธิปไตยแบบไทยมีลักษณะอย่างไร ลักษณะดังกล่าวมีการคลี่คลายมาในแต่ละห้วงเวลาที่ผ่านมาอย่างไร และมีเหตุปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดลักษณะและการคลี่คลายของประชาธิปไตยแบบไทยเช่นนั้น การศึกษาด้านเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้ศึกษาทั้งทางด้านโครงสร้างส่วนบน และโครงสร้างส่วนล่างควบคู่กันไป และผลของการศึกษาได้ค้นพบประเด็นที่สำคัญที่อาจสรุปได้ดังนี้ 1. ลักษณะทั่วไปที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยแบบไทย คือการเปิดโอกาสให้กลุ่มข้าราชการประจำเข้าครอบครองอำนาจทางการเมือง ซึ่งมีผลทำให้การนำระบอบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในเมืองไทยได้รับการเบี่ยงเบนทั้งแนวคิดและกลไกของระบอบประชาธิปไตยกล่าวคือ ก. ในด้านความคิด ปรากฏว่าอำนาจอธิปไตยมิได้ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง สิทธิเสรีภาพของประชาชนยังขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย การตัดสินแก้ไขปัญหาทางการเมืองมิได้ใช้หลักประสานประโยชน์หรือแก้ไขตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม แต่มักใช้การรัฐประหารเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในระหว่างกลุ่มผู้นำซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่กลุ่มข้าราชการประจำด้วยกันเอง ข. ในด้านกลไกปรากฏว่า มีการนำสถาบันการเมืองต่าง ๆ เข้ามาใช้ในประเทศไทยเพียงรูปแบบโดยปราศจากเนื้อหาสาระในตัวของสถาบันเอง เช่น วุฒิสภาพซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารมักจะได้แก่ข้าราชการประจำและมิได้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง" ให้กับสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับเป็นฐานอำนาจทางการเมืองของกลุ่มผู้ปกครองประเทศ สภาผู้แทนราษฎรจะมีบทบาทมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่กลุ่มผู้ปกครองประเทศเป็นผู้กำหนด ผู้นำฝ่ายบริหารอันได้แก่นายกรัฐมนตรีเกือบทุกคนเท่าที่ผ่านมามิได้มาจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่การจะดำรงตำแหน่งได้และมีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากสถาบันข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกองทัพไม่ใช่การสนับสนุนจากสถาบันทางการเมือง 2. การคลี่คลายเปลี่ยนแปลงลักษณะประชาธิปไตยแบบไทยในแต่ละห้วงเวลาที่ผ่านมาได้ค้นพบว่า ก. ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ได้มีกระแสแนวความคิดเฉพาะเพียงการนำกลไกบางอย่างของระบอบประชาธิปไตยเข้ามาปฏิรูปการปกครอง ผลของการเปลี่ยนแปลงมีเพียงการปรับปรุงทางด้านเทคนิคการบริหารราชการและการทดลองกลไกบางอย่างภายใต้โครงสร้างของระบอบการปกครองดั้งเดิม ข. การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ปรากฏว่า คณะราษฎรมีแนวคิดระบอบประชาธิปไตยเพื่อใช้เป็นรากฐานอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ชัดเจน เป้าหมายหลักของการเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่ที่การลดบทบาททางการเมืองของฝ่ายเจ้าลงไป ค. ผลของการขาดอุดมการประชาธิปไตยที่ชัดเจนร่วมกัน ทำให้ห้วงระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2500 เป็นห้วงเวลาของการช่วงชิงอำนาจในระหว่างกลุ่มผู้นำทางการเมือง โดยมิได้สร้างเสริมให้แนวคิดประชาธิปไตยตะวันตกหยั่งรากลึกลงในสังคมไทย ถึงกระนั้นก็ตามการรัฐประหารเพื่อล้มอำนาจของผู้นำทางการเมืองมิใช้เป็นรัฐประหารเพื่อล้มระบอบการปกครอง กลไกทางการเมือง เช่น รัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภา ยังคงเป็นสถาบันทางการเมืองที่ปล่อยให้มีบทบาทอยู่เสมอ ง. รัฐประหารในปี พ.ศ. 2501 ทำให้แนวคิดและกลไกระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่อย่างฉาบฉวยได้ยุติลง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ถึง 2512 เป็นเวลาถึง 11 ปี ประเทศไทยปลอดจากการมีระบอบการปกครองแบบรัฐสภาที่แท้จริง ผู้นำทางการเมืองใช้ระบบข้าราชการเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรากฐานอำนาจทางการเมือง ซึ่งปรากฏว่ายิ่งมีการใช้ระบบข้าราชการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมมากเพียงใด ยิ่งทำให้เกิดปัญหาทางด้านการพัฒนาทางการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยมากเพียงนั้น จ. ภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2512 ได้มีการนำหลักการขัดกันระหว่างตำแหน่งรัฐมนตรีกับสมาชิกรัฐสภามาใช้ ผลก็คือกลไกเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดระบอบประชาธิปไตยทางรัฐสภา และไม่อาจจะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้อย่างแท้จริง เพราะที่มาของตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งหมดขาดจากรากฐานในเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ฉ. ภายหลังจากเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 แนวคิดและกลไกของระบอบประชาธิปไตยตะวันตกก็ยังไม่อาจาจะเจริญเติบโตในห้วงเวลานี้ได้ เนื่องจากการขาดสถาบันหลักในทางการเมืองที่จะรองรับการตื่นตัวในระดับสูงของประชาชนได้ ประกอบกับกลุ่มพลังทางการเมืองส่วนใหญ่มิได้มีเป้าหมายของการเคลื่อนไหวเพื่อพัฒนาระบอบประชาธิปไตย แต่กลับใช้คำว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อซ่อนเร้นเป้าหมายของกลุ่มที่แท้จริง ช. ในท่ามกลางความผันผวนและสับสนต่อแนวคิดของระบอบประชาธิปไตยกลุ่มอนุรักษ์นิยมสามารถดึงเอาประชาชนที่สับสนกลับเป็นฝ่ายเดียวของตนได้ รัฐประหารในปี พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2520 เป็นเหตุการณ์ที่เปิดทางให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมกลับมามีอำนาจและบทบาททางการเมืองอย่างเปิดเผยอีกครั้งหนึ่งภายใต้กรอบ “ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ" ซึ่งหมายความว่า กลุ่มข้าราชการโดยเฉพาะกลุ่มทหารยังคงครอบครองอำนาจทางการเมืองต่อไปพร้อม ๆ กับการเปิดโอกาสให้มีเวทีทางการเมืองสำหรับนักการเมืองอื่น ๆ ภายใต้กลไกการเลือกตั้งและกลไกทางรัฐสภา 3. สำหรับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดลักษณะและการคลี่คลายของประชาธิปไตยแบบไทยดังกล่าวสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ ก. ในด้านโครงสร้างส่วนบน ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับมักมีโครงสร้างยอกย้อน เพื่อดึงอำนาจอธิปไตยจากประชาชนกลับมาสู่กลุ่มข้าราชการ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดจากโครงสร้างของรัฐเดิมมีสถาบันข้าราชการประจำที่เข้มแข็งกว่ากลไกทางการเมืองอื่น ๆ และการนำเข้ามาของแนวคิดประชาธิปไตยในด้านอุดมการนั้นก็ไม่ชัดเจนพอที่จะเป็นพลังต่อต้านสภาพเดิมที่เป็นอยู่ ข. ในด้านโครงสร้างส่วนล่าง เดิมการก่อตัวของชนชั้นกลางอย่างเป็นอิสระยังเป็นไปด้วยความลำบาก ภายใต้โครงสร้างระบบการผลิตแบบศักดินา พลังของชนชั้นกลางจึงยังไม่เป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยที่จะผลักดันระบอบประชาธิปไตยตะวันตกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ อย่างไรก็ตามผลของการเร่งระดมทุนจากต่างประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ในห้วงระยะเวลาหลังนี้ปรากฏว่าพลังของกลุ่มนายทุนและชนชั้นกลางได้เริ่มเติบโตขึ้นมาอย่างอิสระได้บ้างแล้ว 4. ผลของการค้นพบลักษณะประชาธิปไตยและเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดลักษณะและการคลี่คลายของประชาธิปไตยแบบไทยดังกล่าว ทำให้เกิดข้อคิดในเชิงนโยบาย (policy implication) เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย และข้ออภิปรายต่อนัยความหมายทฤษฎีประชาธิปไตย (theoretical discussion and implication) ดังต่อไปนี้ ก. ข้อคิดในเชิงนโยบายพัฒนาประชาธิปไตย 1) สิ่งที่ไม่ควรกรทำต่อไปในอนาคตก็คือ การกำหนดโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่ให้กลุ่มข้าราชการเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือกำหนดโครงสร้างของรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทั้งนี้เพราะจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงของพัฒนาการทางการเมืองไทยทั้งในด้านโครงสร้างส่วนบนและโครงสร้างส่วนล่าง 2) สิ่งที่ควรกระทำในอนาคตก็คือ การสร้างความสมดุลย์ระหว่างการคงแนวคิดและกลไกระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กลุ่มข้าราชการและกลุ่มพลังการเมืองอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างชอบธรรม เช่น การจัดให้มีอาณัติ (mandate) จากประชาชนต่อผู้ปกครอง และการใช้เทคนิคของกลไกทางการเมืองอื่น ๆ ที่เปิดช่องให้กลุ่มพลังต่าง ๆ เข้ามามีบทบาททางการเมืองได้อย่างทั่วถึงเป็นต้น ข. ข้ออภิปรายต่อนัยความหมายทฤษฎีประชาธิปไตย 1) การโยกย้ายสถาบัน (Institutional Transfer) ประชาธิปไตยมายังประเทศโลกที่สาม มักจะพบปัญหาในเรื่องความแตกต่างของสภาพแวดล้อมในด้านอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนกับอำนาจอธิปไตยเป็นของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มข้าราชการการโยกย้ายสถาบันควรจะดำเนินการโยกย้ายทั้งในด้านแนวคิดและกลไกควบคู่ไปด้วยกัน มิฉะนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร 2) กรณีการโยกย้ายสถาบันประชาธิปไตยมาใช้ในประเทศไทยแม้จะประสบกับปัญหาและความขัดแย้งดังกล่าวข้างต้น แต่วิวัฒนาการคลี่คลายทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้ ทำให้กลุ่มผู้ปกครองและกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ไม่อาจปฏิเสธต่อแนวคิดและกลไกประชาธิปไตยตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นความเชื่อแบบมายาคติทางการเมือง (political myth) ซึ่งมีผลทำให้แนวคิดและกลไกระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นหนทางโดยบังเอิญที่ทุก ๆ ฝ่ายทั้งฝ่ายมีอำนาจและไม่มีอำนาจในปัจจุบัน ต่างก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะแสดงนอกเสียจากทางเลือกหรือเวทีนี้เท่านั้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
วัชรพุกก์, ชาญวุฒิ, "ประชาธิปไตยแบบไทย : บทศึกษาผลการนำแนวคิดและกลไกระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทย" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 50576.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/50576