Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวิเคราห์ทางการเงินของโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในเขตกรุงเทพมหานคร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
A financial analysis of private hospitals with promotional privilege from the board of investment in Bangkok metropolitan area
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
ศิรินันท์ ชนิตยวงศ์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การธนาคารและการเงิน
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.331
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้เป็นการศึกษาถึงการวิเคราะห์ทางการเงินของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาถึงฐานะทางการเงินของอุตสาหกรรมข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ งบการเงินซึ่งได้จากแหล่งข้อมูลทางราชการคือ กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยทำการวิเคราะห์ระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2520-2523 นอกจากนี้ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมในด้านการให้บริการ การตลาด สถานภาพทางการแพทย์และอนามัยของประชาชน แผนพัฒนาการสาธารณสุขตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 การควบคุมของรัฐบาล ตลอดจนความช่วยเหลือของรัฐบาลที่มีต่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมโรงงานพยาบาลเอกชน เป็นอุตสาหกรรมให้บริการทางด้านสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน เริ่มมีการตื่นตัวขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา ตามผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2524 ปรากฏว่า ประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนแผนปัจจุบัน จำนวน 294 แห่ง มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน 8,794 เตียง ในจำนวนนี้อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 92 แห่ง 5,114 เตียง อยู่ในส่วนภูมิภาค 202 แห่ง 3,680 เตียง เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการส่งเสรมการลงทุนทั้งประเทศ 23 แห่ง 2,518 เตียง มีแพทย์ที่ปฏิบัติงานกับโรงพยาบาลเอกชน 636 คน อยู่ในเขตกกรุงเทพมหานคร 354 คน อยู่ในส่วนภูมิภาค 282 คน สถิติการป่วยสูงสุดของประชากรทั้งประเทศป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีสถิติการตายด้วยอุบัติเหตุ และการเป็นพิษสูงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือโรคหัวใจ และมะเร็งทุกชนิด ด้านการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนได้จัดประเภทบริษัทออกตามจำนวนสินทรัพย์ถาวรได้เป็น 3 ขนาด คือ กิจการขนาดใหญ่ เป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวรมากกว่า 40 ล้านบาท กิจการขนาดกลางเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวร 20-40 ล้านบาท และกิจกรรมขนาดเล็กเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวรต่ำกว่า 20 ล้านบาท การวิเคราะห์ใช้อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญเป็นพื้นฐาน อันได้แก่อัตราส่วน 4 กลุ่ม คือ อัตราส่วนวิเคราะห์สภาพคล่อง อัตราส่วนวิเคราะห์สมรรถภาพการใช้สินทรัพย์ อัตราส่วนวิเคราะห์สภาพเสี่ยงและอัตราส่วนวิเคราะห์สมรรถภาพในการหากำไร โดยคำนวณหาอัตราส่วนโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม อัตราส่วนโดยเฉลี่องแต่ละขนาดของกิจการ และทำการเปรียบเทียบเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินโดยเฉลี่ยของกิจการแต่ละขนาดกับอัตราส่วนทางการเงิน โดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ลักษณะที่ 2 เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบ อัตราส่วนของบริษัทต่าง ๆ กับอัตราส่วนโดยเฉลี่ยของกิจการตามขนาดของบริษัทนั้น ๆ โดยตั้งสมมติฐานในการศึกษาว่า กิจการขนาดใหญ่มีสมรรถภาพในการดำเนินงาน ดีกว่ากิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่า ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ยกเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารลูกหนี้ กิจการขนาดใหญ่มีการบริหารลูกหนี้ดีกว่ากิจการขนาดอื่น และทางด้านสภาพเสี่ยงในการใช้เงินทุนจากหนี้สิน กิจการขนาดใหญ่มีการใช้เงินทุนจากหนี้สินในสัดส่วนที่ต่ำกว่ากิจการขนาดอื่น รวมทั้งมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ดีกว่ากิจการขนาดอื่น ส่วนสมรรถภาพในการหากำไรนั้น กิจการขนาดใหญ่ มีมรรถภาพต่ำกว่ากิจการขนาดกลาง และมีแนวโน้มลดลง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521-2523 ด้านการบริหารเงินทุนของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชน จากการวิเคราะห์โครงสร้างทางการเงินปรากฏว่ากิจการขนาดเล็กมีการใช้เงินทุนจากหนี้สินในสัดส่วนสูงที่สุด รองลงมาคือ กิจการขนาดกลางและกิจการขนาดใหญ่ ตามลำดับ โดยหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้สินหมุนเวียน และจากการวิเคราะห์งบแสดงแหล่งที่มาและใช้ไปของเงินทุนพบว่า วิธีการจัดหาเงินทุนของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ดีกล่าวคือ มีการนำหนี้สินระยะสั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร จากการศึกษา พอสรุปได้ว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมคือต้นทุนการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนไม่สามารถเพิ่มค่าบริการได้ตามสัดส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้ง ปัญหาการบริหารภายในบริษัทเอง ดังนั้นบริษัทเกือบทุกรายในอุตสาหกรรมนี้ จึงประสบผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ โรงพยาบาลเอกชนควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อลดต้นทุนการบริหารให้ต่ำที่สุด ควรให้ความสำคัญในด้านคุณภาพการรักษาพยาบาล และบริการต่าง ๆ มากกว่าการลงทุนในอาคารสถานที่ส่วนปัญหาการเงินควรมีการวางแผนทางการเงินโดยการทำงบประมาณ จัดหาแหล่งเงินทุนและการใช้ไปของเงินทุนให้เหมาะสม รวมทั้งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนในการให้สิทธิพิเศษแก่โรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น เพื่อให้อุตสากรรมขยายตัวได้อีก
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
โชติอนันตชัย, ดารณี, "การวิเคราห์ทางการเงินของโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในเขตกรุงเทพมหานคร" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 50535.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/50535