Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

โครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น : วิเคราะห์ในเชิงปริมาณแบบพึ่งพา

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The structure of econnomic relations between Thailand and Japan : a quantitative analysis of interdependence

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

เศรษฐศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.16

Abstract

ในช่วงสองทศวรรษแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยโดยใช้กลยุทธความจำเจริญเติบโตแบบไม่สมดุล (Unbalanced Growth) ได้มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ และระหว่างประเทศในลักษณะที่เศรษฐกิจไทยต้องผูกพันกับเศรษฐกิจต่างประเทศยิ่งขึ้น ดังนั้นความผันแปรในวิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกจึงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ปัญหาดุลการชำระเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากความรุนแรงของปัญหาการขาดดุลการค้าที่เป็นพลังกดดันอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย แม้เศรษฐกิจไทยจะพัฒนาก้าวหน้าโดยมีภาคเกษตรกรรมเป็นแหล่งที่มาของรายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญ แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการนำสินค้าเข้าประเภททุน และสินค้าขั้นกลางเพื่อการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมยังไม่ได้ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจได้ถึงขนาด จึงปรากฏว่ายิ่งเศรษฐกิจไทยขยายตัว ประเทศไทยก็ยิ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่งยวดทั้งด้านเศรษฐกิจและการค้า วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมีความมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์ถึงลักษณะโครงสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่นว่า อุตสาหกรรมต่างๆ มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาต่อกันมากน้อยเพียงใด ตลอดจนวิเคราะห์ถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงความต้องการสินค้าของประเทศไทยกับญี่ปุ่น ต่อโครงสร้างการผลิตของประเทศทั้งสองในเชิงผลกระทบต่อเนื่องต่ออัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมในด้านผลผลิต รายได้ (มูลค่าเพิ่ม) และการว่าจ้างทำงาน วิธีการวิจัยเป็นวิธีเชิงปริมาณโดยนำแบบจำลองปัจจัยการผลิตผลผลิตระหว่างประเทศ (International Input-Output Model) มาศึกษาวิจัยโดยใช้ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตผลผลิตระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่นปี พ.ศ.2518 (ขนาด 69 สาขา) และข้อมูลการค้าของกรมศุลกากรในช่วงปี พ.ศ.2518-2524 เป็นเครื่องมือสำคัญในการคำนวณค่าทางสถิติต่างๆ ผลการศึกษาวิจัยได้ผลสรุปซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน กล่าวคือ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างกันทางโครงสร้างการผลิตอย่างมากกล่าวคือ ญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตค่อนข้างครบวงจรสมบูรณ์และเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยซึ่งโครงสร้างการผลิตเป็นเกษตรกรรม การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเพื่อการผลิต (Producer Goods) จากญี่ปุ่นเป็นมูลค่าสูงกว่าสินค้าเพื่อการบริโภค (Consumer Goods) ที่ประเทศไทยผลิตเพื่อส่งออกไปขายญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างกันในแนวดิ่ง (Vertical Interdependence) เช่นนี้เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นฝ่ายพึ่งพาญี่ปุ่นมากกว่าที่ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาประเทศไทย (Unilateral Dependence) ฉะนั้นการค้าระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่นที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยจึงขาดพลังอำนาจต่อรองทางการค้ากับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ผลสะท้อน คือ ประเทศไทยจึงต้องประสบกับการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นอย่างเรื้อรังเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการพิจารณาแก้ไขปัญหารากฐานของการค้าระหว่างประเทศของไทยกับญี่ปุ่น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาแนวทางแก้ไขที่สัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทั้งด้านการค้าการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรม ดังนั้นผลการศึกษาวิจัยนี้จึงพอจะเป็นแนวทางอันหนึ่งที่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถวางแผนและดำเนินมาตรการในด้านต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Share

COinS