Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิเคราะห์ความต้องการนำเข้าเครื่องจักรกลในประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

An analysis of demand for import of machinery in Thailand

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

ศรีวงศ์ สุมิตร

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

เศรษฐศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.14

Abstract

การศึกษาเรื่อง “การวิเคราะห์ความต้องการนำเข้าเครื่องจักรกลในประเทศไทย" ในที่นี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ ต้องการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการนำเข้าเครื่องจักรกลกับปัจจัยทางเศษรฐกิจต่างๆ ที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อแบบแผนการนำเข้าสำค้าประเภทนี้ ซึ่งการประมาณความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านี้ จะใช้วิธีการทางเศรษฐมิติ ในการกำหนดแบบจำลองสำหรับศึกษาหาความสัมพันธ์ดังกล่าว จะมีลักษณะเป็นแบบจำลองพลวัต แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรกล( M_t ) ซึ่งเป็นตัวแปรตามกับตัวแปรอธิบาย ได้แก่ผลผลิตในปีปัจจุบัน ( Y_t ) ผลผลิตในปีที่ผ่านมา ( Y_(t-1 ) ) ค่าใช้จ่ายของการใช้ทุนที่แท้จริงในปีปัจจุบัน ( (C/〖P)〗_t ) ค่าใช้จ่ายของการใช้ทุนที่แท้จริงในปีที่ผ่านมา ( (C/〖P)〗_(t-1) ) และการนำเข่าเครื่องจักรกลในปีที่ผ่านมา ( M_(t-1) ) ความสัมพันธ์ของตัวแปรเหล่านี้อยู่ในรูปสมการเชิงเส้น สำหรับขอบเขตของการศึกษา จะครอบคลุมเฉพาะเครื่องจักรกลไม่ใช้ไฟฟ้าเท่านั้น โดยจำแนกเครื่องจักรกลไม่ใช้ไฟฟ้าออกเป็นประเภทต่างๆตามลักษณะการใช้งาน 10 ประเภท ลักษณะข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณอนุกรมเวลารายปี ระหว่าง 2511 – 2524 โดยที่ M_t จะใช้ข้อมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลปรับด้วยดัชนีราคาการนำเครื่องจักรกลแต่ละประเภท Y_t จะใช้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ภายในประเทศของสาขาเศรษฐกิจต่างๆ ที่นำเครื่องจักรกลแต่ละประเภทไปใช้ C_t จะใช้ข้อมูลดัชนีราคานำเข้าเครื่องจักรกลปรับด้วยอัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยแต่ละประเภท และ P_t จะใช้ข้อมูลดัชนีราคา (ขายส่ง) ผลิตภัณฑ์ของสาขาเศรษฐกิจต่างๆ ที่นำเครื่องจักรกลแต่ละประเภทไปใช้ สำหรับวิธีการประมาณค่าจะใช้วิธีการของ Marc Nerlove ที่เรียกว่า “ Iterative Estimation" ผลการวิเคราะห์ทางสถิติได้ผล ดังนี้ 1. การไหวตัวของสต๊อดที่ต้องการต่อการเปลี่ยนแปลงระดับผลผลิตและค่าใช้จ่ายของการใช้ทุนที่แท้จริง มีความแตกต่างกันมากในแต่ละประเภทของเครื่องจักรกล กล่าวคือ เครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตรกรรมและที่เกี่ยวข้อง เครื่องจักรกลที่ใช้อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ และเครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมีการไหวตัวอต่อการเปลี่ยนแปลงระดับผลผลิตค่อนข้างสูง ขณะที่จักรกลอื่นๆเครื่องจักรกลที่ใช้อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ เครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องจักรกลที่ให้กำเนิดกำลัง มีการไหวตัวต่อการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายของการใช้ทุน อยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเภทอื่นๆ 2. อัตราการปรับตัวของสต๊อค ซึ่งเป็นตัววัดความสามารถของผู้ผลิตในการปรับสต๊อคที่เกิดขึ้นจริง เพื่อสู่ระดับสต๊อคที่ต้องการของเครื่องจักรกลแต่ละประเภท มีอัตราแตกต่างกัน ในระหว่าง 2.7 – 46 % โดยที่อัตราการปรับตัวของสต๊อคในกรณีเครื่องจักรกลที่ให้กำเนิด เครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์และเครื่องจักรกลที่ใช้ในการก่อสร้างและเหมืองแร่ มัอัตราสูงถึงประมาณ 34 – 46 % ซี่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเภทอื่นๆ มีอัตราเพียงไม่ถึง 20 % 3. ในระยะสั้น ความต้องการนำเข้าเครื่องจักรกลประเทศไทยมีความยืดหยุ่นต่อราคาน้อย ( ตัวอย่างเช่น เครื่องจักกลอื่นๆ ( 0.495 – 0.559 ) และเครื่องจักรกลที่ให้กำเนิดกำลัง ( 0.495 – 0.559 ) จะมีความยืดหยุ่นน้อยมาก ) ในทางตรงข้าม มีความยืดหยุ่นต่อผลผลิตมาก (ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ( 3.46 – 3.93 ) เครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตรกรรมและที่เกี่ยวข้อง ( 2.53 – 3.16 ) และเครื่องจักรกลที่ให้กำเนิดกำลัง ( 2.53 – 2.66 ) จะมีความยืดหยุ่นสูงมาก )

Share

COinS