Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ประเภทของนิทานที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Types of story that enrich creative thinking of prathom suksa three students

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

อำไพ สุจริตกุล

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ประถมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.156

Abstract

การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประเภทของนิทาน ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ที่มีอายุระหว่าง 8 -10 ปี โรงเรียนเทวัญอำนวยวิทย์ โรงเรียนบ้านกรุง โรงเรียนศรีสำโรง สังกัดสำนักงานประถมศึกษา จังหวัดสุโขทัย จำนวน 90 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โรงเรียนละ 30 คน จากนักเรียนที่มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตลอดปีทุกกลุ่มประสบการณ์เกรดเฉลี่ย 2.5 – 3.00 แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 3 กลุ่มๆละ 30 คน ทุกกลุ่มมีสภาพคล้ายกันที่สุด ในด้านการจัดประสบการณ์การสอนและสิ่งแวดล้อม ให้แต่ละกลุ่มทดลองฟังนิทาน กลุ่มละ 1 ประเภท คือกลุ่ม 1 โรงเรียนเทวัญอำนวยวิทย์ ฟังนิทานเกี่ยวกับเทพนิยาย กลุ่ม 2 โรงเรียนบ้านกรุ ฟังนิทานเกี่ยวกับสัตว์ กลุ่ม 3 โรงเรียนศรีสำโรง ฟังนิทานเกี่ยวกับการผจญภัย สมมุติฐานในการวิจัยคือ นิทานทั้งสามประเภทให้ความคิดสร้างสรรค์ต่างกันเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ นิทาน 3 ประเภท คือ นิทานเกี่ยวกับเทพนิยาย นิทานเกี่ยวกับสัตว์ นิทานเกี่ยวกับการผจญภัย ประเภทละ 15 เรื่อง รวม 45 เรื่อง และแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ 4 ฉบับ ซึ่งดัดแปลงมาจากแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ของอี พอล ทอร์แรนซ์ (E .Pual Torrance) ฉบับที่ 1 เป็นการวาดภาพจากวงกลม (Circles Task) ฉบับที่ 2 เป็นการวาดภาพจากรูปสี่เหลี่ยม (Square Task) ฉบับที่ 3 ผลที่จะเกิดขึ้น (Consequences) ฉบับที่ 4 ประโยชน์ของสิ่งของ (the Use of things) การให้คะแนนแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ให้ตามแบบของกิลฟอร์ด (Guilford) คือ คะแนนความคิดแคล่วคล่อง (Fluency) หมายถึง คะแนนที่ได้จากการนับคำตอบทั้งหมด คะนนความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึงคะนนที่ได้จากคำตอบที่ไม่มีอยู่ในทิศทางเดียวกัน คะแนนความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึงคะแนนที่ไม่ซ้ำกับของคนอื่น ในกลุ่มตัวอย่าง ให้คำตอบข้อละ 1 คะแบบวิธีดำเนินการวิจัย ก่อนทดลองเล่านิทาน ผู้วิจัยได้รับการวัดความคิดสร้างสรรค์ (Pre test) กับนักเรียนทั้ง 3 กลุ่ม ทิ้งช่วงไว้ 7 วัน จึงทดลองเล่านิทาน โดยแยกกลุ่มฟัง วันละ 1 เรื่อง ทั้ง 3 กลุ่ม จนครบ 15 เรื่อง วิธีการเล่านิทาน ผู้วิจัยใช้อุปกรณ์ประกอบการเล่านิทาน เช่น รูปภาพ ของจริง หุ่นจำลอง หุ่นมือ และให้เด็กแสดงบทบาทประกอบเรื่อง โดยใช้เทคนิคให้คล้ายคลึงกันมากที่สุด ในแต่ละกลุ่ม หลังจากแต่ละกลุ่มฟังนิทานครบ 15 เรื่องแล้ว ทิ้งช่วงไว้ 7 วัน จึงทำการวัดความคิดสร้างสรรค์ หลังการเล่านิทาน (Post test) ด้วยแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ชุดเดียวกันการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีทางสถิติ 2 วิธี คือ การหาค่า t ของแต่ละกลุ่มเพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนการฟังนิทาน (Pre test) กับคะแนนเฉลี่ยหลังการฟังนิทาน (Post test) เพื่อต้องการศึกษาว่า หลังจากฟังนิทานแล้วเด็กมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 หรือไม่ และวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of Covariance) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS (Statistical Package for Social Science) เพื่อเปรียบเทียบผลการฟังนิทานแต่ละประเภท ได้แก่ นิทานประเภทเทพนิยาย นิทานประเภทสัตว์ นิทานประเภทผจญภัย ถ้าได้ผลว่า โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน ก็เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ ด้วยวิธีของเซฟเฟ่ (Shedde’) ค่าเฉลี่ยที่นำมาเปรียบเทียบกัน เป็นคะแนนหลังการทดลองของทุกกลุ่ม เมื่อปรับด้วยคะแนนพื้นฐาน ซึ่งวัดก่อนการทดลองผลการวิจัย1. การฟังนิทาน 3 ประเภท คือ นิทานประเภทเทพนิยาย นิทานประเภทสัตว์ นิทานประเภทผจญภัย ทำให้เด็กทั้ง 3 กลุ่ม มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ2. หลังจากฟังนิทานแล้ว ทำการวัดความคิดสร้างสรรค์ ด้วยแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ 4 ฉบับ ปรากฏว่า เด็กทั้ง 3 กลุ่ม มีความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านความคิดคล่องแคล่ว จากแบบวัดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับประโยชน์ของสิ่งของ และด้านความคิดริเริ่ม จากแบบวัดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับผลที่จะเกิดขึ้น พบว่า กลุ้มที่ฟังนิทานประเภทเทพนิยายและผจญภัย ได้คะแนนเฉลี่ยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 และ ทั้งสองกลุ่มได้คะนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่ฟังนิทานปะเภทสัตว์

Share

COinS