Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีความผิดเกี่ยวกับอากาศยาน
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Extradition in case of offences relating to aircraft
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
สุผานิต มั่นศุข
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.411
Abstract
การกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานและชีวิตของเจ้าหน้าที่ในอากาศยานตลอดจนผู้โดยสารเท่านั้น แต่เป็นภยันตรายต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือนทั่วๆ ไปด้วยโดยเฉพาะความผิดฐานจี้อากาศยานนั้น เป็นความผิดต่อมหาชนทั่วไป ผู้กระทำความผิดถือเป็นศัตรูต่อมนุษยชาติ ลักษณะของการกระทำความผิดนั้นเป็นความผิดต่อกฎหมายนานาชาติ ซึ่งโดยหลักมูลฐานของความผิดประเภทนี้ ทำให้รัฐบาลทุกรัฐมีข้อผูกมัดที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดได้ การกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานในปัจจุบันนี้ปรากฏในอนุสัญญาในความผิดเกี่ยวกับอากาศยาน 3 ฉบับได้แก่ 1. อนุสัญญาว่าด้วยความผิดและกระทำอื่นๆ บางประการที่กระทำบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 2. อนุสัญญา เพื่อการปราบปรามการยึดอากาศยานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ค.ศ. 1970 3. อนุสัญญาเพื่อการปราบปรามการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน ค.ศ. 1971ในอนุสัญญาแหล่านี้ได้กำหนดลักษณะความผิดเกี่ยวกับอากาศยานไว้ ซึ่งมีหลายประเกท เช่น การจี้อากาศยาน การยึดครองอากาศยาน การก่อวินาศกรรม และการโจมตีทางภาคพื้นดิน การกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานนั้น สามารถกระทำได้ทั้งในขณะที่อากาศยานจอดอยู่ที่พื้นดิน และขณะที่อากาศยานกำลังทำการบินอยู่ มูลเหตุจูงใจของผู้กระทำความผิดมีทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในทางส่วนตัว และวัตถุประสงค์ในทางการเมืองแอบแฝงอยู่ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกว่าการกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานเป็นความผิดในทางการเมืองหรือไม่ แต่เนื่องด้วยลักษณะของความผิดประเภทนี้ผู้กระทำความผิดสามารถหลบหนีจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งได้โดยง่าย จึงเกิดปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของการกระทำความผิดนี้ฐานนี้ ซึ่งโดยหลักทั่วไปแล้วจะไม่ทำการส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันในความผิดทางการเมือง และความผิดในทางการเมืองนั้นหลายประเทศยึดถือหลักเกณฑ์แตกต่างกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานอ้างว่าได้กระทำความผิดในทางการเมือง เพื่อได้รับการคุ้มครองในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในการกระทำความผิดฐานนี้ ลักษณะของความผิดเกิดขึ้นและเกี่ยวเนื่องกันหลายรัฐตั้งแต่เกิดการกระทำความผิดจนสิ้นสุดการกระทำความผิด รัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงอ้างเขตอำนาจศาลเหนือการกระทำความผิดนั้น โดยอ้างถึงเขตอำนาจศาลเหนืออาณาเขตเขตอำนาจศาลเหนือบุคคล และเขตอำนาจศาลสากล เป็นเหตุให้รัฐมากกว่าหนึ่งรัฐมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในความผิดฐานนี้ ก่อให้เกิดปัญหาว่ารัฐใดควรจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีก่อน ดังนี้ในการพิจารณาจึงต้องพิจารณาถึงรัฐใดที่เสียหายและเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดใกล้ชิดที่สุดความผิดที่กระทำกับอากาศยานถือเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ทุกประเทศจะต้องร่วมมือกันลงโทษผู้กระทำความผิดโดยอาศัยหลักการลงโทษสากล เช่นเดียวกับ ความผิดฐานโจรสลัด ถ้าผู้กระทำความผิดหลบหนีไปยังรัฐใดๆ ก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของรัฐนั้นจะต้องพิจารณาพิพากษาลงโทษได้ แต่ถ้ารัฐใดที่มีความเสียหายประสงค์จะลงโทษผู้กระทำความผิดและร้องขอให้รัฐที่ผู้กระทำความผิดปรากฏตัวอยู่ส่งผู้ร้ายแดนไปให้ก็มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันได้ แต่ในการส่งคนร้ายข้ามแดนให้แก่กันนั้นโดยหลักทั่วไปแล้วจะพิจารณาถึงสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือจารีตประเพณีระหว่างประเทศหรือหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน ความผิดที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันนั้นจะปรากฏในอนุสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในกรณีที่เกิดความผิดในทางอาญาประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันได้ เช่น ความผิดฐานจี้อากาศยานเป็นต้น การกำหนดเงื่อนไขในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ควรจะกำหนดอัตราโทษแทนที่จะกำหนดลักษณะความผิด จึงจะเป็นการเหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ในปัจจุบัน อนุสัญญาการกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานทั้ง 3 ฉบับ มีเจตนารมณ์ที่จะให้มีการาส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันในความผิดเกี่ยวกับอากาศยาน โดยเฉพาะในอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1970 และอนุสัญญากรุงม่อนทรีล ค.ศ. 1971 ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้ง ดังนั้นประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าว ต้องบัญญัติกฎหมายภายในรองรับเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาเหล่านั้น ในส่วนของประเทศไทยได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 แต่ไม่ได้บัญญัติกฎหมายไว้แจ้งชัดว่าความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ในการพิจารณาส่งผู้ร้ายข้ามแดนในประเทศไทยนั้น เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ได้ทำไว้กับประเทศต่างๆ ถ้าไม่มีสนธิสัญญาต่อกันก็พิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 การกระทำความผิดเกี่ยวกับอากาศยานนั้นไม่มี อนุสัญญาฉบับใดที่ประเทศไทยทำกับต่างประเทศ ว่าให้เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ คงมีแต่ความผิดฐานยึดอากาศยานที่ปรากฏในอนุสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่ประเทศไทยทำกับประเทศฟิลิปปินส์ ได้บัญญัติว่าเป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการแก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ประเทศไทยได้ทำกับประเทศอังกฤษ อเมริกา เบลเยี่ยม และอินโดนีเซียโดยบัญญัติอัตราโทษไว้เป็นเงื่อนไขของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กรณีเช่นนี้สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับประเทศต่างๆ ได้ เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับอากาศยานได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วนความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 แล้ว และความผิดทุกประเภทในพระราชบัญญัติก็ได้กำหนดอัตราโทษไว้แล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
นพเก้า, เฉลิม, "การส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีความผิดเกี่ยวกับอากาศยาน" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48134.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48134