Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ผลของซีรัมลิงหางยาว (Macaca fascicularis) ต่อการเปลี่ยนโมเลกุลแอล-เอช (LH) ในรูปของไบโอแอคทีฟและอิมมิวโนแอคทีฟ จากเซลล์ต่อมใต้สมอง ของหนูขาวก่อนวัยเจริญพันธุ์ในหลอดทดลอง

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Serum factors in Macaca fascicularis on the change of bioactive versus immunoactive form of LH molecule from immature rat pituitary cell in vitro

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

หรรษา อัศวเรืองชัย

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จุลชีววิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.561

Abstract

เพื่อที่จะตรวจสอบหาปัจจัยในซีรัมลิงหางยาว (Macaca fascicularis) ที่ระยะต่าง ๆ ของการเจริญ 3 ระยะที่มีผลควบคุมคุณสมบัติทางไบโอและอิมมิวโนแอคทวิตีของ LH โดยตั้งแบบทดลองที่ใช้ซีรัมลิงที่ 6% จากระยะโตเต็มวัย (A) ระยะย่างเข้าวัยเจริญพันธุ์ (P) และระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ (I) ทั้ง 2 เพศ ตรวจสอบกับเซลล์ต่อมใต้สมองของหนูขาวเพศผู้ อายุ 23-25 วัน ที่เพาะเลี้ยงไว้ ภายหลังจากพรีอินคิวเบท 48 ชั่วโมง เริ่มต้นการทดลองไปอีก 3 วัน โดยเปลี่ยนอาหารเลี้ยงเซลล์ทุก 24 ชั่วโมง ตรวจหาระดับของ rLH ในอาหารเลี้ยงเซลล์ ด้วยวิธีไบโอเอสเสย์ (BA) และเรดิโออิมมิวโนเอสเสย์ (RIA) จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า กลุ่มควบคุมหลั่ง rLH ลงในอาหารเลี้ยงเซลล์โดยมีอัตราส่วน BA : RIA ประมาณ 0.9-1.8 ตลอด 3 วัน ที่ทำการเพาะเลี้ยงโดยมีค่าไบโอแอคติวิตีคงที่ แต่ค่าอิมมิวโนแอคติวิตีของ rLH ลดลงตามช่วงเวลาของการทดลอง กลุ่มทดลองติวิตีของ rLH ลดลงตามช่วงเวลาของการทดลอง กลุ่มทดลองที่ได้รับซีรัมจาก A O+ สามารถกระตุ้นไบโอแอคทิวิตี rLH ได้สูงที่สุด เป็นผลให้มีอัตราส่วน BA : RIA ของ rLH เพิ่มขึ้นในช่วง 5-18 ใน 3 วันของการทดลอง ซีรัม จากลุ่มอื่น ๆ ก็แสดงผลกระตุ้นไบโอแอคทิวิตี rLH เช่นกัน แม้จะกระตุ้นได้น้อยกว่า ส่วนซีรัมจาก I O+ ไม่มีผลต่อไบโอแอคทิวิตี rLH แต่อย่างใด การตรวจวัดหาปริมาณของสเตียรอยด์ในซีรัมของทุกกลุ่มอายุที่ใช้ในการทดลองแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของเทสโทสเตอโรนต่อการกระตุ้นค่าไบโอแอคติวิตี rLH ส่วนการกระตุ้นค่าอิมมิวโนแอคทิวิตี rLH มีความสัมพันธ์ กับอัตราส่วนโปรเจสโรนต่ออีสโตรเจนที่ต่ำอยู่ในช่วง 4 ถึง 5 ซึ่งแสดงให้เห็นในกลุ่มที่ได้รับซีรัมจาก P O+ สเตียรอยด์ตัวอื่นหรืออัตราส่วนของสเตียรอยด์อื่นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นดังกล่าว การแยกส่วนของซีรัมโดยวิธีไดอะไลซีส พบว่าสเตียรอยด์ส่วนที่รวมกับโปรตีนในซีรัมที่รับผิดชอบต่อการหลั่ง rLH ที่มีค่า BA : RIA สูงคงที่ตลอดการทดลอง ส่วนไดอะไลเซทไม่พบว่ามีผลต่อ BA : RIA แต่อย่างใด ระดับเทสโทสเตอโรนเพียงลำพังสอดคล้องกับการเพิ่มความไวของเซลล์ต่อมใต้สมองต่อ GnRH (7.5x10-12 M.) ในการกระตุ้นไบโอแอคทิวิตี rLH ส่วน GnRH เพียงลำพังในอาหารเลี้ยงเซลส์สามารถไปเพิ่มการหลังอิมมิวโนแอคทิวิตี rLH จากเซลล์ต่อมใต้สมอง นอกจากนี้ปริมาณของอีสโตรเจนยังมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความไวของเซลล์ต่อมใต้สมองในการหลั่งอิมมิวโนแอคทิวิตี rLH ตอบสนองต่อ GnRH แต่การมีเทสโทสเตอโรนและโปรเจสเตอโรนในระดับสูงจะไปลดความไวของเซลล์ต่อมใต้สมองต่อ GnRH ที่ใช้กระตุ้น จากการศึกษานี้ทำให้ทราบถึงชนิดของสเตียรอยด์จากต่อมเพศหรืออัตราส่วนของสเตียรอยด์ในซีรัม ซึ่งได้แก่ เทสโทสเตอดรน อีสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ทั้งสามมีบทบาทในการควบคุมค่าไบโอและอิมมิวโนแอคทิวิตีของ LH โมเลกุลที่หลั่งจากเซลล์ต่อมใต้สมองทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่าน GnRH สเตียรอยด์ส่วนที่รวมอยู่กับพลาสมาโปรตีนยังรับผิดชอบต่อการรักษาค่าไอโอแอคทิวิตีของ LH ให้สูงอยู่ตลอด 3 วันของการเพาะเลี้ยงเซลล์ ซึ่งเป็นผลให้ค่า BA:RIA สูงอยู่ตลอด 3 วันนั่นเอง เนื่องจากอัตราส่วน BA : RIA ของ LH ถูกกำหนดตามค่าของสเตียรอยด์ และ/หรืออัตราส่วนของสเตียรอยด์ในระยะต่าง ๆ ของการเจริญดังกล่าว ค่าอัตราส่วน BA:RIA ของ LH นี้อาจเป็นเครื่องแสดงถึงสภาพทางสรีรวิทยาที่สำคัญ หรืออาจเป็นเครื่องบ่งบอกที่มีความหมายที่ดีเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางสรีรสภาพใด ๆ ซึ่งจะต้องศึกษาต่อไป

Share

COinS