Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ในกรุงเทพมหานคร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Political alienation and political participation in Bangkok Metropolis
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
รัฐศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การปกครอง
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.517
Abstract
ในการวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะศึกษาถึงความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชากรในกรุงเทพมหานครโดยกำหนดตัวแปรอิสระคือ เพศ อายุ เชื้อชาติ การศึกษา อาชีพ รายได้และระยะเวลาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ตัวแปรตาม คือความรู้สึกเมินห่างทางการเมือง กับ การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ประกอบด้วยประชากรในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปโดยแบ่งออกตามประเภทอาชีพ ดังนี้ ข้าราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจเอกชน ครูหรืออาจารย์ กรรมกรหรือผู้ใช้แรงงาน นิสิตนักศึกษาอาชีพอิสระ และพวกที่ไม่มีงานทำหรือว่างงาน จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 400ราย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1.โดยทั่วไปประชากรในกรุงเทพมหานครมีความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองในระดับปานกลางค่อนข้างสูงโดยความรู้สึกไร้บรรทัดฐานทางการเมืองและไร้ความหมายทางการเมืองมีค่าเฉลี่ยสูงความรู้สึกไร้อำนาจทางการเมืองและเหินห่างทางการเมืองมีค่าเฉลี่ยค่อนข้างสูง และความรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมืองมีค่าเฉลี่ยปานกลาง 2.ความคิดเห็นของประชากรในกรุงเทพฯ ที่มีต่อประเด็นทางการเมืองต่างๆพบว่าโดยทั่วไปยังเห็นว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยยังคงมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของบ้านเมือง (ไม่ว่าจะรู้สึกเมินห่างทางการเมืองระดับใด)หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากยังไม่ค่อยจะมีความเหมาะสมกับบ้านเมืองของเราเท่าใดนักเห็นว่าไม่ค่อยได้รับความเสมอภาคทางกฎหมายหรือทางการเมือง(โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รู้สึกเมินห่างของการเมืองต่ำ)มีความเห็นว่ารัฐธรรมนูญช่วยให้การปกครองมีความมั่นคงได้ค่อนข้างน้อย (ในกลุ่มผู้รู้สึกเมินห่างของการเมืองปานกลาง)ยังเห็นความสำคัญหรือประโยชน์ของการเลือกตั้งผู้บริหาร กทม. ที่มีขึ้น(ไม่ว่าจะรู้สึกเมินห่างทางการเมืองระดับใด)ขณะเดียวกันก็มีความเห็นว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองของไทยทุกวันนี้ไม่มีหรือเกือบจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน (โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รู้สึกเมินห่างของการเมืองสูง)ส่วนความคาดหวังต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศนั้นยังคงมีความหวังพอสมควรและให้ความเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาของประเทศโดยวิถีทางรัฐสภาในปัจจุบัน (โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รู้สึก เมินห่างของการเมืองสูง)และมีความเห็นว่าการช่วยเหลือบริการของหน่วยงานราชการที่ไปติดต่ออยู่ในระดับดีพอสมควร (โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รู้สึกเมินห่างของการเมืองต่ำ)3.ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองของประชากรในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ การศึกษา รายได้และระยะเวลาที่อยู่ในกรุงเทพฯ กล่าวคือ 3.1ผู้มีการศึกษาระดับกลางจะรู้สึกเมินห่างทางการเมืองสูงขณะที่ผู้มีการศึกษาสูงจะรู้สึกเมินห่างทางการเมืองต่ำและพบว่าผู้มีการศึกษาต่ำจะรู้สึกไร้อำนาจทางการเมืองและไร้ความหมายทางการเมืองสูง 3.2ผู้ที่รายได้ต่ำกว่ามีแนวโน้มที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมืองไร้อำนาจทางการเมืองและเหินห่างทางการเมืองสูงกว่าผู้ที่มีรายได้สูงกว่าซึ่งผู้ที่รายได้สูงจะรู้สึกไร้ความหมายทางการเมืองต่ำกว่ากลุ่มรายได้อื่นๆ3.3 ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ในเวลาสั้นๆจะรู้สึกเมินห่างทางการเมืองโดยเฉพาะด้านไร้ความหมายทางการเมืองสูงกว่าผู้ที่อยู่อาศัยนานมากกว่าซึ่งพวกนี้จะมีแนวโน้มที่รู้สึกเหินห่างทางการเมืองลดต่ำลง 3.4นอกจากนี้ยังพบว่า เพศหญิงจะรู้สึกไร้อำนาจทางการเมืองไร้ความหมายทางการเมืองและไร้บรรทัดฐานทางการเมืองสูงกว่าเพศชายและผู้มีอายุสูงจะรู้สึกไร้อำนาจทางการเมืองสูงขณะผู้ที่มีอายุปานกลางและต่ำจะรู้สึกไร้อำนาจทางการเมืองปานกลาง 4.ความแตกต่างในความรู้สึกเหินห่างทางการเมืองจะมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในลักษณะผกผันระดับปานกลางซึ่งผลในทางทฤษฎีและความเป็นจริงสภาพการณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันโดยเฉพาะในด้านการไม่เข้าเป็นสมาชิกหรือสังกัดกลุ่มองค์กรใดๆทางสังคม-การเมืองความตั้งใจจะไม่ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในคราวต่อไปการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้ง การติดตามข่าวสารการเมืองและการไม่เคยไปติดต่อกับทางราชการเพื่อให้แก้ปัญหาของตนเองหรือชุมชน 5. ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05ระหว่างความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองกับการไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งผู้บริหารกรุงเทพฯ ที่มีขึ้นการชุมนุมประท้วงและการนิ่งเฉยต่อปัญหาของบ้านเมืองนอกจากนี้ยังพบว่า คนกรุงเทพฯโดยเฉลี่ยแล้วรู้สึกไม่ไว้วางใจทางการเมืองสูงไม่ศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันค่อนข้างสูงซึ่งความรู้สึกดังกล่าวสัมพันธ์กับความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองในทางบวกระดับสูงและปานกลางตามลำดับ
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เกษมสุวรรณ, ธีรพล, "ความรู้สึกเมินห่างทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ในกรุงเทพมหานคร" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48034.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48034