Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ต้นทุนและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเสื่อกกระดับอุตสาหกรรมในครอบครัว ของจังหวัดจันทบุรี

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Cost and rate of return on investment in rush-mat production cottage industry in Chanthaburi provinc

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

ฉวีวรรณ สุทธิอาจ

Second Advisor

กัญญา นวลแข

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การบัญชี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.474

Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุน รายได้ รายจ่าย ผลกำไร และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนผลิตเสื่อกกระดับอุตสาหกรรมในครอบครัว ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ของการผลิต ข้อมูลในการวิจัยนี้ ได้มาจากการสอบถามผู้ผลิตเสื่อกกในเขตจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่มีการผลิตเสื่อกกมากและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้เสื่อกกทั่วไปทั้งในด้านคุณภาพและความสวยงามของเสื่อ นอกจากการสอบถามดังกล่าวแล้ว ผู้วิจัยยังได้รวบรวมข้อมูลมาจากเอกสารต่าง ๆ ที่ได้มีผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อีกด้วย จากผลการวิจัยพบว่า การผลิตเสื่อกกระดับอุตสาหกรรมในครอบครัวนี้ ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักทำเป็นอาชีพรองจากอาชีพหลักทางด้านการทำนา และทำสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งผู้ผลิตนิยมที่จะปลูกและปอเพื่อใช้เอง หากไม่พอจึงจะไปหาซื้อเพิ่มเติมจากเพื่อบ้านใกล้เคียงที่ผลิตไว้ขาย สำหรับแรงงานที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจะไม่มีการจ่ายค่าแรงให้กัน เพราะถือว่าเป็นการช่วยกันทำมาหากิน หากแรงงานที่มีไม่เพียงพอจึงจะจ้างบุคคลอื่นโดยให้ค่าตอบแทนเป็นรายวัน การทอเสื่อของผู้ผลิตในจังหวัดจันทบุรี จะทอด้วยที่แบบนอนที่ทำด้วยไม้ ซึ่งสามารถผลิตขึ้นใช้เองได้โดยไม่ต้องซื้อ ในเรื่องของประสิทธิภาพการผลิตพบว่า การผลิตเสื่อกกระดับอุตสาหกรรมในครอบครัวนี้โดยเฉลี่ยแล้ว การผลิตยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากการใช้แรงงานยังไม่เต็มที่ ยังมีเวลาว่างที่มิได้นำมาใช้ในการผลิต จึงทำให้ปริมาณผลผลิตที่ได้รับไม่สูงเท่าที่ควร ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของนโยบายการผลิตของผู้ผลิตเอง ที่ไม่มีกำหนดไว้แน่นอน ทำให้ผลผลิตที่ได้พลอยไม่แน่นอนไปด้วย แต่การที่จะแก้ปัญหาเล่านี้ได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการผลิตของผู้ผลิตแต่ละรายซึ่งจะแตกต่างกันไป การจำหน่ายสินค้าที่ผลิตได้นั้น พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นการจำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลางและมีการกำหนดราคาโดยพ่อค้าคนกลางเช่นกัน ลักษณะการจำหน่ายของผู้ผลิตจะมีการจำหน่ายทั้งปลีดและส่ง โดยในการขายปลีดนั้นมักจะเป็นการขายให้แก่นักทัศนาจรคนไทยเสียส่วนใหญ่ สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจำหน่ายของผู้ผลิตที่สำคัญเกิดจากความต้องการของลูกค้าประจำ และภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณจำหน่ายระหว่างปีไม่คงที่ในการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ซึ่งได้จากการนำกำไรสุทธิเฉลี่ยหารด้วยเงินลงทุนเฉลี่ย) ของการผลิตเสื่อกกทั้งประเภทสื่อผืนและประเภทผลิตภัณฑ์รวม 11 ชนิด ที่ได้เลือกมาทำการศึกษา พบว่าสินค้าเสื่อกกที่ให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยเป็นดังนี้ อันดับที่ 1 เสื่อลวดที่เย็บริมแล้วชนิดย้อมสี ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูงที่สุดถึงร้อยละ 30.63 ของเงินลงทุน อันดับที่ 2 ผลิตภัณฑ์ชุดรองภาชนะแบบสี่เหลี่ยมให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 2510 อันดับที่ 3 เสื่อม้วนชนิดกกขาวให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 24.13 อันดับที่ 4 เสื่อม้วนชนิดย้อมสีให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 23.54 อันดับที่ 5 เสื่อลวดที่เย็บริมแล้วชนิดกกขาวให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 21.23 อันดันที่ 6 ผลิตภัณฑ์เสื่อพับให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 17.71 อันดับที่ 7 เสื่อลวดที่ยังไม่เย็บริมชนิดยอมสีให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 17.38 อันดับที่ 8 ผลิตภัณฑ์กล่องใส่กระดาษเช็ดมือเช็ดหน้าให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 15.48 อันดับที่ 9 เสื่อลวดที่ยังไม่เย็บริมชนิดกกขาวให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 10.74 อันดับที่ 10 เสื่อผืนที่ยังไม่เย็บริมชนิดย้อมสีให้อัตราผลตอบแทนร้อยละ 4.40 และสุดท้าย อันดับที่ 11 เสื่อผืนที่ยังไม่เย็บริมชนิดกกยาว ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำที่สุดคือ ติดลบร้อยละสื่อผืนที่ยังไม่เย็บริมชนิดกกขาว ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำที่สุดคือ ติดลบร้อยละ 5.95 เนื่องจากผลิตแล้วขาดทุน เมื่อได้พิจารณาถึงอัตราผลตอบแทนของสินค้าและผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดแล้ว จะเห็นว่ามีสินค้าเสื่อกกเพียง 3 ชนิด ที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประเภทฝากประจำ 12 เดือน ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบคือร้อยละ 11 แต่ถ้าพิจารณาถึงอัตราผลตอบแทนรวมทั้งหมด ซึ่งเท่ากับร้อยละ 16.76 แล้ว ก็สามารถสรุปได้ว่า การผลิตเสื่อกกระดับอุตสาหกรรมในครอบครัวนี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ทางด้านสีย้อมกก พบว่ากม้ว่าค่าสีย้อมกกจะไม่ใช่ต้นทุนที่สำคัญที่สุดของการผลิตเสื่อกก เมื่อได้วัดค่าออกมาเป็นตัวเงินต่อเสื่อ 1 ผืนแล้วก็ตาม แต่จากการที่สีซึ่งต้องซื้อจากต่างประเทศนั้นมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต้นทุนการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามจึงถือได้ว่า เรื่องของสีย้อมกกนี้จัดเป็นปัญหาสำคัญของการผลิตเสื่อกก นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ผลิตอีกหลายประการ แต่ปัญหาที่รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือบ้างแล้ว ได้แก่ ปัญหาทางด้านเงินทุนหมุนเวียน และปัญหาด้านตลาดจำหน่ายจากผลการสำรวจพบว่า ผู้ผลิตที่เคยได้รับความช่วยเหลือนั้นจะมีเฉพาะผู้ที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มสตรีแม่บ้านเท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลได้มุ่งพัฒนาและให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมประเภทนี้อย่างจริงจังแล้ว ย่อมเป็นการสนับสนุนให้เกิดการจ้างแรงงาน และการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดภายในประเทศให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อันจะช่วยให้เกิดการขยายตัวเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่ต่อไป ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในที่สุด

Other Abstract (Other language abstract of ETD)

The purposes of this thesis are to study cost, revenue, expenditure, net profit and rate of return on investment in rush-mat production cottage industry, and related problems being encountered by the investors. The data were available mainly from direct interview of the villagers in Chantaburi suburbs whose rush-mat production has been of large scale and accepted for their quality as wee as their neatness. Some related data were also available from secondary source. It was found that the villagers whose major occupation was rice farming, produced rush-mat for their supplementary income. They learned such technical know-how from their ancestors, generations by generations. Rush and jute string, the major inputs in rush-mat production process, were produced by the villagers themselves. In case of deficient supply of such inputs, they would purchase them from the neighbours. Labours employed in the production process were those of the family members who received no wages or salary in return for their employment. The hired labours from outside the family were generally paid by piece work they produced. Generally, the instrument locally called “Ki-Non" (Horizontal Ki) used to produce rush-mat, was constructed by the villagers themselves. Regarding the efficiency of production, it was found that the scale of production was still under capacity. This was due to the underemployment of labour forces. Several factors also accounted for such occurrence. Chief among these was the uncertainty of the producers’ production policy, causing uncertain supply of the products. Solution of these problems depended to a certain extent on the individual ability of the producers. In marketing process, it was found that prices of rush-mats were generally determined by the middlemen who acted as purchasers. The producers also sell their products both as retailers and wholesalers. As retailers, their major customers were domestic tourists. Fluctuation of rush-mats supply was found to be a key marketing problem. The fluctuation could be explained by several factors; chief among these were the customers’ fluctuating demand and economic cycle. For the analysis of the rate of return (average net profit/average working capital) on the investment in the production of rush mat and processed rush-mat products totalling ll types, it was found that the dyed long-roll mat with sewn edge gave the highest rate of return (30.63%), the processed rush-mat coasters with four-sided form came the second (20.10%) and the undyed roll came the third (24.13%). The remaining 8 types in successive ranks were : the dyed roll, the undyed long-roll with sewn edge the processed product-folded rush-mat, the dyed long-roll with unsewn edge, the processed product-napkin case, the undyed long-roll with unsewn edge, the dyed rush-mat with unsewn edge, and the undyed rush-mat with unsewn edge; their rates of return were found to be 23.54, 21.23, 17.71, 17.38, 15.48, 10.74, 4.40 and (-) 5.95% respectively. Comparing to the rate of interest on fixed deposit at 11% per annum, only 3 types of rush-mat were found to yield lower rate of return. But as a whole, the average rate of return was found to be 16.76% which was higher than that of the fixed deposit interest. Thus it could be concluded that investment on rush-mat production cottage industry was profitable. For dyeing work, the cost of dyeing per unit of mat was found to be low relative to costs of other items. However, the availability of dye and its increasing prices, was one of the key problems because it had to be imported from abroad. Other related problems, some of which were being remedied by the government, were the lack of working capital and poor marketing. It was found that only the villagers who were members of the Housewife Association had been financially aided. It this industry were to be promoted thoroughly by the government, it could be expanded. Such effect would lead to an increase in employment opportunity, efficient utilization of domestic resources as well as the expansion of middle sized and large-sized industries. The development of national economic and social welfares would be resulted.

ISBN

9745670162

Link to Full Text

Share

COinS