Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ต้นทุนและอัตราผลตอบแทนของการผลิตส้มโอในจังหวัดนครปฐม

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The cost and rate of return on pomelo production in Nakhon Pathom province

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

ฉัตร ช่ำชอง

Second Advisor

สุภาพรรณ รัตนภรณ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การบัญชี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.471

Abstract

ส้มโอเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีผู้นิยมบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สามารถปลูกได้เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่จังหวัดที่มีเนื้อที่เพาะปลูกมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดนครปฐม และเป็นไม้ผลยืนต้นที่มีอายุยืนและให้ผลผลิตสูงสามารถทำรายได้เป็นอย่างมากให้แก่ชาวสวนในจังหวัดนครปฐม ดังนั้นโครงการลงทุนทำสวนส้มโอในจังหวัดนครปฐมจึงเป็นโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ วัตถุประสงค์หลักของวิทยานิพนธ์นี้คือ ศึกษาถึงต้นทุนและรายได้ ตลอดจนผลตอบแทนจากการผลิตส้มโอในจังหวัดนครปฐม ในปีเพาะปลูก 2527/2528 โดยออกแบบสอบถามและสัมภาษณ์ชาวสวนในจังหวัดนครปฐม จำนวน 50 ราย ในขนาดเนื้อที่เพาะปลูก 6-10 ไร่ ซึ่งเป็นสวนขนาดกลางที่ชาวสวนปลูกกันมากและยึดเป็นอาชีพหลัก ภายในช่วงระยะเวลา 10 ปีของการทำสวนส้มโอ โดยศึกษาเฉพาะส้มโอพันธุ์ขาวทองดี เนื่องจากเป็นส้มโอที่สามารถทำรายได้ให้แก่ชาวสวนได้มากกว่าส้มโอพันธุ์อื่นๆ การศึกษาในที่นี้ได้แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ การลงทุนทำสวนส้มโอโดยการเช่าที่ดิน และการลงทุนทำสวนส้มโอโดยการซื้อที่ดิน การวิเคราะห์ผลตอบแทนของการผลิตส้มโอได้ใช้วิธีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน วิธีระยะเวลาจ่ายคืนทุน วิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ และวิธีอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง โดยใช้อัตราส่วนลดร้อยละ 11 และร้อยละ 14 ต่อปี ซึ่งอัตราดังกล่าวเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรตามลำดับ โดยในการคำนวณหารายได้นั้นได้ใช้ราคาขายส่งของส้มโอที่เกษตรกรได้รับที่ฟาร์ม คือ ส้มโอที่เป็นส้มปีจะมีราคาขายผลละ 15 บาท และถ้าเป็นส้มทะวายจะมีราคาขายผลละ 20 บาท หรือคิดเป็นราคาขายโดยเฉลี่ยผลละ 17 บาท ผลจากการศึกษาปรากฏว่า การปลูกส้มโอจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลส้มโอได้ตั้งแต่สิ้นปีที่ 4 เป็นต้นไป และปริมาณผลส้มโอที่เก็บเกี่ยวได้ในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของต้นส้มโอ กล่าวคือต้นส้มโอเมื่อมีอายุมากขึ้นจะให้ปริมาณผลส้มโอมากขึ้น โดยในปีที่ 10 จะเป็นปีที่ต้นส้มโอให้ผลมากที่สุด และหลังจากปีที่ 10 เป็นต้นไป ปริมาณผลส้มโอที่ได้รับจะเริ่มลดลง ส่วนที่ปลูกส้มโอเฉพาะพันธุ์ขาวทองดีในเนื้อที่เพาะปลูก 10 ไร่โดยการเช่าที่ดินจะเกิดต้นทุนโดยเฉลี่ยเป็นจำนวนเงิน 89,009 บาท/ฟาร์ม/ปีในปีที่ 4 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 187,358 บาท/ฟาร์ม/ปีในปีที่ 10 โดยค่าวัสดุที่ใช้ในการทำสวนส้มโอได้แก่ ค่าปุ๋ย ค่ายาป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนในการปลูกส้มโอมีค่าสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 66.64 ของต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมด และมีรายได้เฉลี่ยในปีที่ 4 เป็นจำนวน 59,500 บาท/ฟาร์ม/ปี และเพิ่มขึ้นเป็น 654,500 บาท/ฟาร์ม/ปีในปีที่ 10 โดยในปีที่ 10 จะเป็นปีที่เกิดกำไรสุทธิสูงที่สุด และตลอดอายุของการทำสวนส้มโอ 10 ปีจะมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,874,985 บาท/ฟาร์ม/ปี คิดเป็นร้อยละ 63.02 ของรายได้ทั้งหมด สำหรับสวนที่ปลูกส้มโอเฉพาะพันธุ์ขาวทองดีในเนื้อที่เพาะปลูก 10 ไร่โดยการซื้อที่ดินจะมีต้นทุนในการปลูกสูงกว่าการทำสวนส้มโอโดยการเช่าที่ดิน ทั้งนี้เนื่องจากต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ใช้ซื้อที่ดิน โดยรายได้จากการจำหน่ายส้มโอจะเท่ากัน ทำให้ได้รับกำไรสุทธิต่ำกว่า กล่าวคือในปีที่ 4 จะเกิดต้นทุนโดยเฉลี่ยเป็นจำนวน 132,999 บาท/ฟาร์ม/ปี และเพิ่มขึ้นเป็น 256,248 บาท/ฟาร์ม/ปีในปีที่ 10 โดยค่าวัสดุที่ใช้ในการทำสวนส้มโอจะยังคงเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญในการปลูกส้มโอคิดเป็นร้อยละ 48.38 ของต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีรายได้เฉลี่ยในปีที่ 4 จำนวน 59,500 บาท/ฟาร์ม/ปี และเพิ่มขึ้นเป็น 654,500 บาท/ฟาร์ม/ปีในปีที่ 10 จะเป็นปีที่เกิดกำไรสุทธิสูงที่สุด และตลอดอายุของการทำสวนส้มโอ 10 ปีจะมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,459,985 บาท/ฟาร์ม/ปี คิดเป็นร้อยละ 49.07 ของรายได้ทั้งหมด จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนปรากฏว่า การทำสวนส้มโอโดยการเช่าที่ดินและโดยการซื้อที่ดินจะมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 123.98 และร้อยละ 61.24 ตามลำดับ โดยการทำสวนส้มโอทั้ง 2 กรณีจะได้รับทุนคืนภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปี 7 เดือน และ 6 ปี 6 เดือนตามลำดับ สำหรับการทำสวนส้มโอโดยการเช่าที่ดิน ณ ระดับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการเท่ากับร้อยละ 11 และร้อยละ 14 ต่อปี จะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิมากกว่า 0 คือมีจำนวน 708,787.00 บาท/ฟาร์ม และ 544,545.69 บาท/ฟาร์มตามลำดับ สำหรับการทำสวนส้มโอโดยการซื้อที่ดินมาลงทุนและคิดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการ เท่ากับร้อยละ 11 และร้อยละ 14 ต่อปี จะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิมากกว่า 0 คือมีจำนวน 464,385.19 บาท/ฟาร์ม และ 328,073.39 บาท/ฟาร์มตามลำดับ และได้รับผลตอบแทนที่แท้จริงร้อยละ 42.54 สำหรับการทำสวนส้มโอโดยการเช่าที่ดิน และร้อยละ 28.52 สำหรับการทำสวนส้มโอโดยการซื้อที่ดิน จึงสรุปได้ว่าการลงทุนปลูกส้มโอในปัจจุบันจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน ปัญหาในการทำสวนส้มโอที่ชาวสวนในจังหวัดนครปฐมประสบได้แก่ ปัญหาด้านต้นทุนที่ใช้ในการทำสวนส้มโอ ปัญหาด้านการตลาด ปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช และปัญหาด้านเงินทุน สำหรับข้อเสนอแนะซึ่งใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แก่ 1. รัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการลงทุนในประเทศเกี่ยวกับการผลิตสารเคมีที่ใช้ทางด้านการเกษตร เพื่อเป็นการลดต้นทุนที่ใช้ในการปลูกส้มโอในส่วนของค่ายาป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช และควรให้คำแนะนำและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการปลูกส้มโอ การป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชที่ถูกวิธี ตลอดจนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุง วิธีการบรรจุ หีบห่อ และการขนส่งเพื่อการส่งออก 2. ส่งเสริมให้ชาวสวนร่วมมือกันจัดตั้งกลุ่มชาวสวนขึ้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการจำหน่ายส้มโอ และเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพและขยายตลาดของส้มโอให้กว้างขวาง โดยได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐบาล และควรเปลี่ยนระบบการจำหน่ายส้มโอจากการใช้วิธีการวัดขนาดของผลมาเป็นวิธีการจำหน่ายโดยการชั่งน้ำหนัก 3. ส่งเสริมให้ชาวสวนได้ร่วมมือกันจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านเงินทุนและแนะนำให้ชาวสวนทำการปลูกพืชล้มลุกในระหว่างที่ต้นส้มโอยังไม่ให้ผล จากปัญหาต่างๆดังกล่าวข้างต้น ถ้าหากได้มีการร่วมมือกันทุกๆฝ่ายในการขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น คาดว่าการทำสวนส้มโอก็จะเป็นอาชีพหนึ่งที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของชาวสวนดีขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศอีกด้วย

Share

COinS