Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ต้นทุนการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The cost of white seabass culture in Earthern pond
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
จามร ชุมสาย ณ อยุธยา
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การบัญชี
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.466
Abstract
จากการที่ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์ปลากะพงขาวในโรงเพาะฟัก เป็นผลสำเร็จชาติแรกในโลกเมื่อปี 2516 เป็นต้นมา ทำให้การเลี้ยงปลากะพงขาวได้รับความสนใจจากประชาชนผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นจำนวนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะปลากะพงขาวเป็นปลาที่มีราคาแพงสามารถทำรายได้ให้กับผู้เลี้ยงได้เป็นอย่างดี โดยจะสังเกตได้จากการที่ประชาชนขอจองพันธุ์ปลากะพงขาวในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งทางราชการและเอกชนทำการผลิตแทบไม่ทันกับความต้องการของประชาชนที่ขอจองพันธุ์ปลา วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน โดยเลือกศึกษาจากเกษตรกรในตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเริ่มต้นเลี้ยงปลากะพงขาวเป็นอาชีพเสริม ใช้เงินทุนเริ่มแรกจำนวนไม่มากนักอันจะเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกรและผู้สนใจทั่วไปได้ทราบเป็นแนวทางเบื้องต้น การศึกษาได้จากการสอบถาม สัมภาษณ์ และประมวลข้อคิดเห็นจากเกษตรกรและบุคคลต่าง ๆ ในวงการตลอดจนการค้นคว้าจากตำรา บทความ หนังสือ และเอกสารต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่ได้รับจากการเลี้ยงปลากะพงขาวเป็นปลาเนื้อ (ขนาดปลาจาน) โดยแสดงการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้เลี้ยงปลาขนาด 2½ นิ้ว ให้เป็นปลาเนื้อ และกลุ่มผู้เลี้ยงปลาขนาด 3 นิ้ว ให้เป็นปลาเนื้อว่ามีผลแตกต่างกันในด้านใดเพียงไร ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงขนาด 2½ นิ้ว และ 3 นิ้ว ใช้เงินลงทุนเริ่มแรกเฉลี่ยฟาร์มละ 14,364 บาท และ 17,205 บาท มีขนาดบ่อเลี้ยงปลาโยเฉลี่ยฟาร์มละ 2,000 ตารางเมตร และ 2,800 ตารางเมตร ตามลำดับ ค่าใช้จ่ายผันแปรเฉลี่ยฟาร์มละ 61,622 บาทต่อปี และ 137,410 บาทต่อปี หรือแตกต่างกันในอัตรา 1 : 2.23 เท่าตามลำดับ แต่ผลกำไรสุทธิของฟาร์มแต่ละกลุ่มเฉลี่ยฟาร์มละ 20,934 บาทต่อปี และ 89,430 บาทต่อปี หรืออัตรา 1 : 4.27 เท่าตามลำดับ ซึ่งกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงขาวขนาด 3 นิ้ว มีความได้เปรียบกว่ากลุ่มผู้เลี้ยงปลาขนาด 2½ นิ้ว แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน ควรคำนึงถึงขนาดของลูกปลาที่ปล่อยลงเลี้ยง เพราะจะมีผลอย่างมากต่อการอยู่รอด (Survival Rate) อัตราการเจริญเติบโต (Growth Rate) และอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ ( Food Conversion Rate) จึงทำให้ผลผลิต (Production) ที่ได้รับมีความแตกต่างกัน การเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดินนอกจากจะต้องคำนึงถึงขนาดของลูกปลาที่ปล่อยลงเลี้ยงแล้ว ควรคำนึงถึงปริมาณลูกปลาให้อยู่ในอัตราที่พอเหมาะไม่น้อยหรือมากเกินไป รวมทั้งความชำนาญในการเลี้ยง สภาพแวดล้อมของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ตลอดจนคุณภาพของน้ำอาหารปลา และการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตที่ได้รับ ปัญหาที่พบในการเลี้ยงปลากะพงขาวได้แก่ การขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง คุณภาพของน้ำที่มีความเป็นกรดมากเกินไป ความไม่แน่นอนของราคาปลาในท้องตลาด รวมทั้งอาหารปลาได้แก่ ปลาข้างเหลืองหรือปลาเป็ดที่นำมาใช้เลี้ยงปลามีแนวโน้มว่าจะขาดแคลนและมีราคาแพงขึ้นจนเกษตรกรไม่สามารถประกอบอาชีพนี้เป็นหลักในระยะยาวได้ ข้อเสนอแนะในการทำฟาร์มเลี้ยงปลากะพงขาว 1. ควรพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งน้ำ และควรมีบ่อพักน้ำเก็บสำรองไว้เพื่อให้มีการทดสอบคุณภาพของน้ำก่อนนำมาใช้เลี้ยงปลา 2. รัฐควรให้ความสนับสนุนผู้เลี้ยงปลาทางด้านวิชาการ เช่น วิธีการเลี้ยง การให้อาหาร การป้องกันรักษาโรค และการพัฒนาอาหารเทียมที่สามารถนำมาใช้แทนปลาเป็ดได้ 3. รัฐควรให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อการผลิตระยะสั้น รวมทั้งการส่งเสริมด้านการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ 4. ควรมีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงขาวเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและให้ความช่วยเหลือระหว่างสมาชิกด้วยกัน
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
อนุตรโชติกุล, อนุวัธ, "ต้นทุนการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48011.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48011