Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปรียบเทียบการรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเอง ของครูประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ที่มีภูมิหลังต่างกัน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A comparison of self-perception on competencies among Bangkok elementary school teachers with different backgrounds

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

จุมพล พูลภัทรชีวิน

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สารัตถศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.372

Abstract

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองของครูที่มีเพศ อายุ สถานภาพการสมรส การศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและสถานภาพทางเศรษฐกิจต่างกัน 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองของครูประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครกับสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร สมมุติฐานในการวิจัย 1. ครูที่มี เพศ อายุ สถานภาพการสมรส การศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและสถานภาพทางเศรษฐกิจต่างกัน รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองแตกต่างกัน 2. ครูโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครกับสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองแตกต่างกัน วิธีดำเนินการวิจัย 1. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 350 คน และสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 152 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายชั้น 2. การรวบรวมข้อมูล นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปสอบถามครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาจำนวน 467 ชุด คิดเป็นร้อยละ 93.03 3. การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติ หาค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างกลุ่มโดยการทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (Analysis of Variance One Way Classification) สรุปผลการวิจัย 1. ครูชายกับครูหญิงรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานแนะแนวด้านงานกิจการนักเรียน และด้านงานพัฒนา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูหญิงรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานแนะแนว และด้านงานกิจการนักเรียนสูงกว่าครูชาย และครูชายรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานพัฒนาสูงกว่าครูหญิง ส่วนด้านงานสอน ด้านงานธุรการและรวมทุกด้าน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 2. ครูโสดกับครูแต่งงานแล้ว รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอนด้านงานแนะแนว และด้านงานกิจการนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูแต่งงานแล้วรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านดังกล่าวสูงกว่าครูโสด ส่วนด้านงานธุรการ ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 3. ครูที่เคยกับไม่เคยได้รับการอบรมทางการศึกษาเพิ่มเติม รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูที่เคยได้รับการอบรมรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านดังกล่าวสูงกว่าครูที่ไม่เคยได้รับการอบรม ส่วนด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านธุรการ ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้าน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 4. ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกันรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านงานธุรการไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อทำการทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทีละคู่ พบว่า ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงาน 21-30 ปี รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านต่าง ๆ และรวมทุกด้านสูงสุด รองลงมาได้แก่ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงาน 11-20 ปี และ 1-10 ปี ตามลำดับ 5. ครูที่จบการศึกษาในระดับต่างกัน รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองด้านงานพัฒนาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานธุรการ และรวมทุกด้าน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อทำการทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทีละคู่ พบว่า ครูที่จบการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีกับสูงกว่าปริญญาตรีรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงาน พัฒนาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองสูงกว่าครูที่จบการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี 6. ครูที่มีอัตราเงินเดือนต่างกัน รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานธุรการ ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อทำการทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทีละคู่ พบว่า ครูที่มีอัตราเงินเดือนมากกว่า 6,000 บาท รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว และรวมทุกด้าน สูงกว่าครูที่มีอัตราเงินเดือนต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ 7. ครูที่คู่สมรสไม่มีรายได้หรือมีรายได้ต่างกัน รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านงานธุรการไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อทำการทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทีละคู่พบว่าครูที่คู่สมรสมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 6,000 บาท รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวและรวมทุกด้านสูงกว่าครูที่คู่สมรสมีรายได้ต่ำกว่า อย่างมีนัยสำคัญ 8. ครูที่ทำกับไม่ทำงานอื่นเพื่อหารายได้พิเศษ ครูที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรจำนวนต่างกัน ครูที่มีช่วงอายุต่างกัน ครูที่จบการศึกษาในวุฒิสูงสุดจากภาคต่าง ๆ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และครูที่มีรายได้พิเศษต่อเดือนต่างกัน รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานธุรการ ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 9. ครูสังกัดกรุงเทพมหานครกับสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร รับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านงานสอน ด้านงานแนะแนว ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานพัฒนา และรวมทุกด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูสังกัดสำนักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานครรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว และรวมทุกด้านสูงกว่าครูสังกัดกรุงเทพมหานคร ส่วนด้านงานธุรการไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 10. เมื่อวิเคราะห์การรับรู้เกี่ยวกับสมรรถภาพของตนเองแต่ละข้อรายการและแต่ละด้านของครูประถมศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยแต่ละข้อรายการและแต่ละด้านส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านงานธุรการจะอยู่ในระดับปานกลาง

Share

COinS